โอเค วันนี้คงจะต้องขอลาไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน แล้วพรุ่งนี้จะมาเล่าให้ฟัง
ขออวยพร วอนอ้าง คุณพระพุทธ ได้ปกป้อง ผองมนุษย์ โศกกษัย ขออ้างคุณ พระธรรม อันอำไพ ช่วยคุ้มสัตว์ ทั่วไป ไร้โรคา ขออวยพร วอนอ้าง คุณพระสงฆ์ ช่วยธำรง สุขสันต์ กันทั่วหน้า ข้าร่ำร้อง ลำนำ พร่ำภาวนา ทั่วโลกา สิ้นทุกข์ ผาสุกเอย ... ท่านพุทธาสภิกขุ....
Thursday, February 22, 2007
โอเค วันนี้คงจะต้องขอลาไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน แล้วพรุ่งนี้จะมาเล่าให้ฟัง
Tuesday, February 20, 2007
สวัสดียามเช้า
Monday, February 19, 2007
San Ramon / Sanfrancisco / California Trip
สวัสดีจ้า เพื่อน ๆ ที่รัก
San Ramon 13-15 February 2007
หายหน้าหายตาไปหลายวัน อาทิตย์ที่แล้ววันที่ 13-15 ก.พ. ก็ต้องเดินทางตามสามีไปทำงานอีกแล้ว เบื่อกับการขึ้นเครื่องบินมาก ๆ ต้องออกจากบ้านแต่เช้าเหมือนเคย แต่สามีขับรถไปเองไปจอดไว้ที่สนามบิน ที่นี่เวลาเราขับเราเข้าไปที่จอดรถเราจะต้องกดเอาบัตรจอดรถเอง จะไม่มีคนคอยบริการ แต่ตอนกลับจะมีคนคอยเก็บเงิน ก็ไปขึ้นเครื่องที่สนามบินเดิม ไปลงที่ สนามบิน Oakland ซึ่งอยู่ใน Sanfrancisco, California ใช้เวลาอยู่บนเครื่อง 3.5 ชม. พอไปถึงก็ต้องต่อแท็กซี่ไปโรงแรมประมาณ 40 นาที ไปพักที่ Marriot อยู่ในเมือง San Ramon จริง ๆ แล้วเราสามารถขับรถจากสนามบินไปถึงโรงแรมได้ภายใน 10 นาที แต่เนื่องจากต้องอ้อมเขา ทำให้เสียเวลา เมืองที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา แล้วก็บ้านคนจะสร้างอยู่บนเขา เขาเล็ก เขาน้อย เขาใหญ่ ส่วนพื้นที่ราบส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งธุรกิจ ค้าขาย บ้านแต่ละหลังที่อยู่บนเขา ค่อนข้างหลังใหญ่ สามีบอกว่า แต่ละหลังราคาไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท แพงมากๆ ที่นี่อากาศก็คล้าย ๆ กับ คิงวูด คือค่อนข้างหนาว แต่ไม่หนาวจัด อุณหภูมิก็จะอยู่ประมาณ 2-10 องศา
ก็เหมือนเดิม สามีไปทำงานเราก็ไปเดินชอปปิ้ง มีห้างสาขาเดียวกันเลยกับที่คิงวูดส์ คือ Target ของส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ก็เดินไปเดินมาได้มา 2-3 ตัว กางเกงยีนส์ที่นี่เนื้อดีมาก ๆ เวลามันเซลล์ราคาก็ถือว่าไม่แพง ซื้อมาตัวนึง ราคาแค่ 800 บาท เนื้อผ้าคุณภาพดีมาก แล้วก็ทรงสวย สามีกลับมาตอนเย็นบอกว่าเป็นห่วงเธอมากไม่รู้ว่าจะอยู่คนเดียวได้รึเปล่า แต่ที่ไหนได้กลับมาเจอคุณนายช็อปปิ้งซื้อเสื้อผ้ามาเพียบ ฮิ ฮิ
แล้วก็ร้านหนังสือ ที่นี่ร้านหนังสือใหญ่มากมีหนังสือเยอะมาก เค้าจะมีจอคอมไว้ให้ค้นหาหนังสือ จะได้หาง่าย ก็สะดวกดี ไปนั่งอ่านยืนอ่านอยู่ครึ่งค่อนวัน พออ่านเสร็จก็กลับไม่ได้ซื้อออกมาซักเล่มเลย ตามสันดานงกเช่นเคย ส่วนคืนวันวาเลนไทน์ สามีก็บอกว่าจะพาไปรับประทานอาหารอย่างหรู และสุดแสนจะโรแมนติก วางโปรแกรมกันว่าจะกินเสต็กเนื้อแกะ ก็เรียกรถแท็กซี่มารับที่โรงแรม เพื่อไปที่ร้านพอไปถึงร้านประมาณ 1 ทุ่ม โอ้โห โต๊ะเต็มหมด ต้องรอคิว 1 ชม โอ้พระเจ้าช่วยใครจะไปรอไหว เพราะต้องนั่งรอนอกร้านซึ่งอากาศหนาวมาก ๆ ก็เลยเตร็ดเตร่ดูร้านอื่นสรุปมีร้านใกล้ ๆ อยู่แค่ร้านเดียว เป็นภัตตาคารจีน สามีก็เลยถามสรุปจะเอายังไง ไอ้เราก็หนาวมาก ก็เลยเอาวะ ร้านไหนก็กิน ก็เลยได้เข้าไปนั่งในเหลาจีน มีแต่คนจีน บรรยากาศ แบบร้านจีนโบราณ ตูจะบ้าตาย มีแต่คนส่งภาษาจีนกันทั่วร้าน เฮ่อ จากร้านอาหารฝรั่งสุดหรู กลับต้องมานั่งกินอาหารจีน บรรยากาศโรงเตี๊ยม เวรกรรมของชั้นจริง ๆ เลย พอกลับมาบ้านสามีก็เลยปลอบใจพาไปกินใหม่อีกทีแถวบ้าน ชื่อร้าน Red Robster ค่อยยังชั่ว บรรยากาศใช้ได้
ตอนที่อยู่ที่โรงแรมเช้ามาสามีจะไปทำงานแต่เช้า เราต้องหาอะไรกินเองตอนเช้า ก็สามารถไปที่ ห้องรับรองวีไอพีของโรงแรมเพราะเราเป็นสมาชิก สามีก็บอกว่าอาหารเช้าจะมีตอน ตี 5 - 9 โมงเช้า หลังจากนั้นก็จะมีแต่เครื่องดื่ม อีนี่ก็ตื่นไม่ทันตื่นสายโด่ยมาก็ 9 โมงแล้ว กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาเข้าไป 10 โมง หิวซ่กเลย ทำไงดีวะ เอ้าเครื่องดื่มอย่างเดียวก็ดีวะ ดีกว่าไม่ได้กินอะไรเลย ก็ไปที่ห้องรับรอง จะต้องใช้การ์ดรูดเข้าไป ก็ไม่มีใครเลย เค้าไปกันหมดแล้ว ก็ชงชากิน แล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่ประจำที่ห้องรับรองก็เดินเข้ามาคุยด้วยถามโน่นถามนี่ ว่าเป็นคนชาติอะไร พักอยู่ที่ไหน ก็คุยกันได้ถูกอกถูกคอ พี่แกก็เลยเข้าไปยกขนมมาให้กิน เต็มไปหมดเลย มีคุกกี้ มัฟฟิน กล้วยลูกเบ้อเริ่ม เราก็กินได้นิดเีดียวเหลือเพียบ ก็เกรงใจเนอะ กลัวเค้าจะเสียน้ำใจ ก็เลยห่อใส่กระเป๋ากลับไปหมดเลย ฮิ ฮิ
ไม่อยากจะบอกเลยว่ามะเขือเทศ ที่นี่อร่อยมาก ลูกเบ้อเริ่มแล้วก็หวาน รสชาติไม่เหมือนบ้านเรา อยู่บ้านเราไม่ชอบกินเลย แต่มาอยู่นี่กินได้แทบทุกวัน แครอทด้วย จะมีพันธ์เล็ก ๆ แล้วก็หวาน สามารถกินเล่นได้เลยหละ แล้วก็มีน้ำเปล่าสามีซื้อให้กินที่สนามบิน อร่อยมาก เป็นน้ำเปล่าแบบใส่กลิ่นสตอเบอรี่ Strawberry Splash ของ Nestle อร่อยมาก ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองชิมจังเลย แล้วก็สตอเบอรี่ที่นี่ลูกใหญ่ แล้วก็หวานมาาาาาาาาาาาก แต่ก็แพงมาาาาาาาาาก เหมือนกัน ถ้ากลับไปจะซื้อแต่ของกินไปฝากนะ เพราะขนมเค้าเจ๋ง ๆ ทั้งนั้น เลย แต่ไม่รู้จะผ่านด่านเข้าเมืองไทยได้รึเปล่า
Back home
วันศุกร์พอมาถึงบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่สั่งซื้อจากเมืองไทยก็มาถึง โอ้โหเค้าแพ็คมาอย่างดี แพ็คด้วยไม้ ต้องมานั่งงัดกันอยู่ครึ่งค่อนวัน เพราะมันหลายชิ้น เป็นไม้แกะสลักจากเีชียงใหม่ สวยงามมาก รวมราคาของบวกค่าขนส่งประมาณ 8 หมื่นกว่าบาท เรารู้สึกว่าแพง แต่สามีบอกว่า ถ้าเรามาหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ไทยแบบนี้ที่นี่ตกราคาประมาณ 3 แสนบาท เลยรู้สึกถูกขึ้นมาทันทีเลย ใครคิดจะมาขายเฟอร์นิเจอร์ที่นี่บอกนะ รวยแน่เลย เพราะเท่าที่ดูเฟอร์นิเจอร์ที่นี่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ธรรมดามาก แถมยังแพงอีก สู้เฟอร์นิเจอร์เมืองไทยไม่ได้เลย แกะสลัักไม้อย่างงาม
ตกตอนเย็นก็ไปซื้อของที่ HEB เช่นเคย แล้วก็ไปปีนฟุตบาธ มาเรียบร้อย เนื่องจากจะต้องเลี้ยวรถแล้วเผอิญอิชั้นกะไม่ถูกก็เลยปีนฟุตบาธ แหะ แหะ ดีนะรถไม่เป็นอะไร แต่ค่อนข้างจะอายคน รถมันใหญ่ง่ะ ไม่เคยขับนี่หว่ารถกระบะหนะ พอขับกลับบ้านก็ขับผ่านคนกำลัังเดินอยู่ข้างถนน เราก็ขับธรรมดาเหมือนอยู่เมืองไทยคือขับตรง ๆ บนถนนแต่ไม่ได้ไปเฉี่ยวเค้า แต่เค้ากระโดดขึ้นขอบถนนเลย สามีดุใหญ่เลยบอกว่าเธอขับรถแบบนี้ไม่ได้ เวลาเห็นคนเดินอยู่ข้างถนน ต้องขับรถอ้อมออกห่าง ๆ ห้ามเข้าไปใกล้ หรือขับตรง ๆ เด็ดขาด เฮ่อ ตูจะบ้าตาย
แผน ดีมากๆ เลยที่ส่งข่าวสารบ้านเมือง จากเมืองไทยมาให้ได้รับรู้บ้าง เพราะตอนนี้ตกข่าวมาก ๆ ไม่มีเวลาเข้าไปอ่านเลย อย่าลืมส่งข่าวมาเรื่อย ๆ นะ จะรอแต้ม ที่อยู่ชั้นดูในเว็บเลยนะ เก็บเงินเร็ว ๆ หละจะคอย
อ้อยใจ สามีถามว่ามีแผนจะมาเยี่ยมเราเมื่อไหร่ เค้าจะจดลงตาราง
พฤกษ์ จ่ายเงินเจ๊อัฐ บ้างรึเปล่า อย่าให้เสียเครดิตล่ะ
อ้อ นมเด็กน่ะ ถ้าส่งจากที่นี่ไปมันก็แพงน่ะสิ ถามว่าดีกว่ามั้ย ที่นี่ดีกว่าอยู่แล้วหละ
HR Team เป็นยังไงกันบ้าง ยังสบายกันดีอยู่รึเปล่า อย่าลืมส่งข่าวบ้างนะจ้ะ แล้วก็ฝากบอกเจ๊สมใจด้วยว่าคิดถึงมาก ๆ อยากได้อะไรเดี๋ยวกลับไปจะซื้อไปฝาก ยกเว้นผู้ชายนะ
อ้อย สามีบอกว่าอยากหาแฟนให้อ้อยจังเลย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาใครให้
พี่จุ๊ ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำเรื่อง Web แต่โหลดรูปไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้ทำไม
รักและคิดถึงทุก ๆ คน
ปู
Key West / Florida Trip
Key West / Florida Trip
ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว ก็คือออกเดินทางตามสามีไปทำงานที่ Key West รัฐฟลอริดา จริง ๆ แล้วที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวอเมริกันชอบไปเที่ยวเพราะเป็นเกาะ แล้วก็เป็นเมืองเก่า มีประวัติศาสตร์มายาวนาน เราก็เริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าวันอังคารที่ 6 ออกจากบ้านตี 5 มีรถของบริษัทสามีมารับไปที่สนามบิน Bush Continental International Airport เครื่องออก 06.30 ต้องไปต่อเครื่องที่ FT. Lauderdale ที่ฟลอริดา แล้วก็ต้องต่อเครื่องบินเล็กไปอีกที เพื่อไปที่เกาะ Key West ใช้เวลา 1 ชม.เศษ เครื่องบินเล็กมาก นั่งได้แค่ข้างละ 1 คน นั่งได้ทั้งหมด 14 คน โอ๊ยหวาดเสียว แล้วก็ไม่มีห้องน้ำ ต้องเข้าไปให้เรียบร้อยก่อน เครื่องจะบินเหนือทะเล แต่ขากลับสามีเปลี่ยนเป็นออกจาก Key West แล้วก็ไปต่อเครื่องที่ Tampa แทน คนที่นี่นั่งเครื่อง ต่อเครื่องกันเป็นเรื่องปกติมากเลย เหมือนเวลาเราต่อรถเมลล์ไม่มีผิด เวลาขึ้นไปบนเครื่องฝรั่งหัวแดงทั้งหลายก็จะเปิดไฟอ่านหนังสือ ส่วนอิชั้นคนไทย หัวดำ หลับอย่างเดียว ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น ก็ใครจะไปอ่านไหวนั่งบนเครื่องบินแล้วอ่านหนังสือไปด้วย ปวดหัวตายเลย สรุปนอนดีกว่า
พอมาถึงคีเวสต์ วันแรกอากาศค่อนข้างเย็น แต่วันต่อๆ ไปอากาศดีมากแค่ 22-23 องศา ไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวเลย ก็มาพักที่ Pier House Resort อยู่ติดทะเล แต่ทะเลเค้ายังไงก็สู้บ้านเราไม่ได้ ของที่นี่ก็โคตรแพงเป็น 2 เท่า ของที่อื่น พักที่นี่ตั้งแต่วันอังคาร - วันศุกร์ ตื่นเช้ามาสามีก็จะออกไปเอาอาหารเช้ามาส่งส่วยให้ที่ห้อง แล้วก็ไปประชุม ทำ Workshop ตั้งแต่เช้ายันเย็นตลอด 3 วัน แต่ตอนเที่ยงกับตอนเย็นก็กลับมาพาอิชั้นออกไปหาอะไรรับประทาน เพราะคิดว่าถ้าไม่พาไป อิชั้นคงอดตายแน่นอน ระหว่างที่สามีไปทำงานไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเดินเรื่อยเปื่อย ไปตามถนน ที่เป็นแหล่งชอปปิ้ง ก็มีร้านค้าขายของเยอะแยะไปหมด ก็เดินมันทุกวัน เข้าไปดูเสื้อ โอ้โห เสื้อกล้ามสายเดี่ยวในตลาดนัดเราดี ๆ นี่เอง ขนาดลดราคาแล้วนะ ยังปาเข้าไปตั้ง 200 กว่าบาท แต่ก็เอาวะซื้อก็ซื้อ เพราะมันถูกสุดละ ได้มา 2 ตัว ส่วนเสื้อแบบอื่นก็ไม่ต้องพูดกันแพงมาก เสื้อคล้าย ๆ เสื้อวอร์ม กับกางเกงวอร์ม หนึ่งชุดปาเข้าไป 4000 บาท ก็ขอเค้าลองไปงั้นแหละ แล้วก็ไม่ซื้อ ดีนะมันไม่ด่าเอา ส่วนใหญ่ร้านค้าที่นี่จะเป็นชาวอิสราเอล คุยกันไปคุยกันมา บางคนก็เคยไปเที่ยวเมืองไทย แต่ดูหน้าตาอีไม่ค่อยน่าคบเลยดูเค็มๆ แล้วก็มีเล่ห์เหลี่ยมยังไงก็ไม่รู้
ส่วนร้านอาหารที่นี่ก็เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ก็คืออาหารฝรั่ง ต้องรอให้สามีสั่งให้อย่างเดียวเพราะไม่รู้จักเลย ถ้าจะให้สั่งง่ายสุดก็จะเป็นสลัด สลัดที่นี่มีเยอะมาก แล้วก็อร่อย มันจะแตกต่างกันตรงน้ำสลัด กับเนื้อที่เค้าจะใส่ว่าเป็นอะไร แต่ถูกปากอิชั้นหมดเลย อ้อลืมไปไปเจอร้านอาหารไทยด้วยชื่อ Thai restaurant ลองดูเมนูหน้าร้านแล้วแพงมาก ๆ ก็เลยไม่กิน เพราะคิดว่ากลับมาทำกินเองที่บ้านดีกว่าถูกกว่ากันเยอะเลย ก็คิดดูสิ ผัดไทย 600 บาท ต้มยำกุ้ง 300 บาท ข้าวผัด 600 บาท แกงเผ็ด 800 บาท โอ๊ยแพงมาก แพงกว่าอาหารฝรั่งมากแถมร้านก็ไม่น่านั่งเท่าไหร่
ที่เที่ยวอื่น ๆ ที่นี่ เท่าที่เดินดูก็จะมีพวกพิพิธภัณฑ์ แล้วก็บ้านช่องเค้าน่ารักมากอยู่ริมถนน บ้านจะออกโทนสว่าง สีขาว ฟ้าอ่อน เขียวอ่อน ไม่เหมือนแถวคิงวูด บ้านแต่ละหลังก็จะมีป้ายติดไว้ว่าสร้างตั้งแต่สมัยไหน ส่วนใหญ่จะสร้างกันมาเกินร้อยปีแล้ว แต่เค้าค่อนข้างจะดูแลดี ทาสีใหม่ ทำให้ไม่เก่า มีทั้งหลังเล็ก หลังน้อย บางหลังก็เอามาทำเป็นร้านอาหาร ที่นี่จะเป็นแหล่งตำนานของเรื่อง Pirate of the Caribbian ที่นี่จะเป็นเมืองประวัติศาสตร์มีประวัติที่น่าสนใจเยอะแยะเต็มไปหมด แล้วก็จะมีพวกแกลลอรี่ แล้วก็รถรางชมเมืองก็เยอะ กำลังเดิน ๆ อยู่ ก็มีเสียงจากคนขับรถไฟพูดใส่ไมค์ตามหลังเรามา ก็ไม่รู้หรอกว่าพูดแซวเรา พอนึก ๆ ไปเอ๊ะมีเราเดินอยู่คนเดียวนี่หว่า ก็เลยหันไปดู คนบนรถรางหัวเราะกันใหญ่เลย แล้วก็โบกมือให้ อายชิบเป๋งเลย ก็เลยต้องโบกมือตอบ แล้วก็ยิ้มแหย ๆ เดินไปเดินมา มีฝรั่งมาถามทางอีกต่างหาก ไม่ได้ดูเล้ยว่าอีนี่หน้าออกจะเอเซีย แล้วก็หน้าเงอะ ๆ งะ ๆ จะไปรู้ทางได้ยังไงวะ ตัวเองยังเดินหลงไป หลงมาเลย
ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่กิจกรรมหลัก ๆ ก็คือ ดำน้ำ ขับเรือยอร์ช เล่นเรือใบ กิจกรรมแบบแพง ๆ ทั้งนั้นเลย เดินหลงเข้าไปในชมรมเรือยอร์ช โอ้โหเรือยอร์ช เยอะมาก ๆ แล้วก็สวย ๆ ทั้งนั้นเลย ส่วนเรือใบก็ลำใหญ่มากแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในเมืองไทยเลย ส่วนโรงแรมที่นี่ก็ค่อนข้างแพง ขั้นต่ำแบบกระจอก ๆ แล้วก็อยู่ที่ คืนละ 8000 บาท แพงมาก สามีวางแผนว่า เดือนมีนาคมนี้โรงเรียนปิดจะพาลูก ๆ มาเที่ยวที่นี่อีก ก็เลยให้อิชั้นไปจองโรงแรมอีกแห่งนึงอยู่ริมทะเลเหมือนกัน ก็เลยเดินดุ่ม ๆ เข้าไปชื่อโรงแรมฮิลตัน เข้าไปขอจองห้อง เดือนมี.ค. 12-16 เค้าบอกต้องจองผ่านอินเตอร์เน็ต เค้าไม่สามารถรับจองได้ ก็เลยถามราคาเค้า โอ้โหแพงใช้ได้ ถ้าเป็นโรงแรมริมทะเล ห้องละประมาณ 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับฤดูกาล แต่ถ้าจะไปพักเป็นบังกะโล ที่เกาะเล็ก ๆ ห่างออกไปประมาณ 200 ม. ก็อยู่ที่ 50,000 บาท โอ๊ยจะเป็นลม สามีก็เลยตัดสินใจ เอาแค่เป็นโรงแรมพอเพราะต้องต้องจอง 2 ห้อง เวลาเราขอดูห้องโรงแรมที่นี่ก็เจ๋งมากเลย เค้าจะให้กุญแจเราไปดูเองเลย ไม่เหมือนเมืองไทย จะมีเจ้าหน้าที่คอยตามมาเปิดห้องให้ พอดูเสร็จก็แค่เอากุญแจไปคืน
วันกลับระหว่างรอขึ้นเครื่องก็เดินเล่นกันไปเรื่อย ๆ ไปเจอสปาไทย ชื่อ Prana Spa สามีตื่นเต้นใหญ่เลย เค้าแหละเป็นคนเห็น บอกว่าต้องเป็นสปาไทยแน่นอน เพราะชื่อเหมือนคนไทย ก็เลยเข้าไปดูใช่จริง ๆ ด้วยเป็นสมุนไพรไทย แล้วก็มีนวดแผนไทย เค้าเปิดเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ น่ารักมาก ตกแต่งง่าย ๆ เพราะเป็นบ้านหลังเล็กนิดเดียว ด้านหลังก็คงจะเป็นห้องนวด มีโซฟารับแขกเป็นหวายแค่ตัวเดียว แต่ไม่เจอคนไทย เจอฝรั่งผู้ชายนั่งคอยรับแขกอยู่คนเดียว ก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นสามีของเจ้าของที่เป็นผู้หญิงไทย แต่ราคาแพงมาก นวดแผนไทย ชั่งโมงเดียวปาเข้าไป 4000 บาท ก็เลยเผ่นอีกเหมือนกัน
Back home / Kingwood
กลับมาถึงบ้านเย็นวันศุกร์ โอ๊ยเหนื่อยมาก นอนหลับแต่หัววัน ส่วนวันเสาร์ ก็ยุ่งอยู่กับการซักผ้า ช่วยกันสองคนผัวเมีย เสื้อผ้าเต็มไปหมด แต่ดีว่าเครื่องซักผ้าที่นี่ซัก แล้วก็อบแห้งเลยไม่ต้องตาก ก็เลยง่ายหน่อย แต่คุณสามีแล่นแยกสีเสื้อผ้าหมดเลย ไม่ซักปนกัน ก็เลยซักมันทั้งวัน ปาเข้าไปเป็น 10 รอบ บางรอบมีแค่ 3 ตัวเอง เปลืองไฟชิบเป๋งเลย ตกตอนบ่ายก็ยุ่งกับการไปเลือกกระเบื้องปูพื้นครัวที่ Low's ไม่เสร็จไม่สิ้นซะที ตอนบ่ายประมาณ 15.30 สามีก็ไปทิ้งอิชั้นสอบภาษาอังกฤษที่ Kingwood College เจ้าหน้าที่เค้าก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง พาเราเข้าไปนั่งในห้องสอบหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วก็บอกให้ใช้หูฟังแค่นั้นแหละแล้วก็ไม่บอกอะไรเลย เราก็เลยลองนั่งดูหน้าคอม ใส่หูฟัง มันก็จะมีคำสั่งบอกให้ทำโน่นทำนี่ ก็มีข้อสอบให้สอบทั้งหมด 3 ชุด เริ่มจาก Listening ก่อน แล้วก็ให้เราตอบลงไปในคอมพิวเตอร์เลย ไฮเทคดี แล้วก็ตามด้วย Reading and Grammar ก็ใช้เวลาสอบไปประมาณ 1 ชม. แล้วก็รูคะแนนเลย โชคดีว่าคะแนนไม่อุบาทว์มาก Reading ได้ 78 คะแนน Grammar ได้ 78 คะแนน แต่ Listening ได้น้อยแค่ 66 คะแนน เค้าก็เลยให้ไปเรียน Reading ระดับ 3 ,Grammar ระดับ 4 , Listening and Speaking ระดับ 2 ทั้งหมดจะมี 5 ระดับ แต่เค้าบอกว่าให้กลับมาสอบ การเีขียนบทความ Writing อีกทีนึงเพราะวันนี้เวลาไม่พอ เลยต้องกลับไปสอบเพิ่มอีกอาทิตย์หน้า เท่าที่ดูส่วนใหญ่คนที่มาสอบก็หน้าตาเป็นฝรั่งทั้งนั้นเลย ไม่รู้มาจากไหนกันบ้าง แต่เดาว่าน่าจะมาจากโซนยุโรป พวก ฝรั่งเศส รึไม่ก็สเปน เพราะพวกนี้ภาษาอังกฤษก็ห่วยพอ ๆ กับบ้านเรา
วันอาทิตย์ยุ่งหนักเข้าไปอีกเพราะ คาลกับมาชา จะมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน โอ๊ยเลยเดือดร้อนอิชั้นต้องเตรียมอาหารตั้งแต่ 10 โมง เพื่อไม่ให้น้อยหน้า ต้องแสดงฝีมืออาหารไทยสุดฤทธิ์ ก็มีต้มยำกุ้งใส่ในหม้อดินมีไฟจุดด้วยนะขอบอก แล้วก็ปลานึ่งมะนาว (ใช้ปลาของบ้านเค้าก็อร่อยดี) ใส่ในหม้อดินที่เป็นรูปปลาแ้ล้วก็มีไฟจุดข้างใต้เหมือนกัน (ไปซื้อมาจากเกาะเกร็ด) แล้วก็ผักเปรี้ยวหวานไส่ไก่ สับปะรด พริกหวานแล้วก็เม็ดมะม่วง จานที่ใส่ไม่ธรรมดานะคะ อิชั้นก็คว้านสับปะรดเป็นถ้วยแล้วก็เอาส่วนที่เป็นใบก็ทิ้งเอาไว้เพื่อความสวยงาม ตามด้วยผักบร็อคโคลี่ใส่กุ้งจานใหญ่ และสุดท้ายข้าวผัดปู แต่ทำเอาเหงื่อแตกเลย เพราะหันซ้ายหันขวาอยู่คนเดียว กลัวเวลาไม่ทันด้วย เพราะแขกจะมาตอน 12.30 น. แล้วก็มากันตรงเวลามากเลย ตอนแขกมาเหลือผัดข้าวผัดอย่างเดียวก็เลยรอดตัวไป ของหวานก็ตามด้วยสับปะรดที่เหลือจากผัดเปรี้ยวหวาน แถมส้อมจิ้มจากเมืองไทยก็น่ารักมาก เป็นรูปแตงโมง ตรงหัว เรียกเสียงกรี๊ดได้ไม่เบา พอเสร็จแล้วสามีก็เปิดซีดีงานแต่งให้แขกดู โอ๊ยมีคำถามเยอะแยะมากมาย ตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง โดยเฉพาะเค้าถามว่าทำไมตอนรดน้ำสังข์ต้องมีการเจิมหน้าผาก แล้วก็ทำไมต้องมีสายคล้องหัวเจ้าบ่าว เจ้าสาว ตอบไม่ถูกแหะ ๆ ใครตอบได้ช่วยตอบที พอมานั่งดูซีดีงานแต่งอีกทีแล้วก็ทำให้คิดถึงเพื่อน ๆ จังเลย สามีก็จะคอยเรียกชื่อคนนั้นคนนี้ จำได้หลัก ๆ อยู่ 3-4 คน ก็มีอ้อยใจ อ้อย เหน่ง จี๊ด เอ็กซ์ โอ๊ท นอกนั้งยังจำชื่อไม่ค่อยได้ เพราะมันเยอะเหลือเกิน ส่วนชื่อโป่ง บอกไม่รู้กี่ทีแล้วก็ยังจำไม่ได้ซักที ต้องถามใหม่ทุกที ไม่รู้ทำไม
พอแขกกลับก็ไปหัดขับรถ ขับกระบะเครื่องแรงดี แต่กะไม่ค่อยถูกเวลาอยู่บนถนนเค้าบอกว่าเราจะขับค่อนไปทางขวาเกินไป คือเรื่องของเรื่องต้องขับเลนส์ขวา แล้วมีความรู้สึกว่ารถที่วิ่งมาหาเราจะเข้ามาชนเราทุกทีเลย เพราะเราชินกับเลนซ้าย แล้วก็จะคอยเลี้ยวไปเลนทางซ้ายทุกทีเลย มันยังไม่ชินกับเลนหนะ ความสับสนในเรื่องการเลี้ยว ทำให้เราสับสนกับการจำทางด้วยว่าจะต้องเลี้ยวไปไหน ตรงไหน ใหม่ ๆ คงไม่กล้าขับคนเดียว เพราะกลัวเลี้ยวผิด ขับไปสวนกับเค้าละซวยเลย ก็ลองขับไปที่ College เพราะจะต้องขับไปเรียนคนเดียว ก็พอจะจำทางได้ละ เพราะสามีให้ขับไปขับมา 2 รอบ ก็อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 10 กว่าโล ไม่ไกลเท่าไหร่ แถมที่นี่่จะชอบมีป้าย Stop ตามทางแยกในแหล่งชุมชน เราก็ต้องหยุดดูซ้ายดูขวา ห้ามขับโดยไม่หยุดเด็ดขาด แ้ล้วก็ห้ามจอดเลยเส้นสีขาว จะโดนสามีดุตลอดเลยเวลา ไม่ทำตามกฎ เพราะเค้าบอกกฎที่นี่เข้มงวดมากห้ามฝ่าฝืนกฎเด็ด่ขาด ส่วนบางแยกไม่มีป้ายให้หยุดเราก็ชินกับการชลอดูรถ เค้าก็บอกไม่ให้หยุดให้ขับไปเลย ถ้าเธอหยุดรถหลังเค้าจะชนตูดได้ เพราะไม่ได้มีป้ายให้หยุด เครียดเลย ส่วนเวลาขับรถผ่านรถที่จอดอยู่ข้างถนน จะต้องขับออกไปให้ห่างมาก ๆ หรือถ้ามีคนเดินอยู่ก็เหมือนกัน ห้ามขับรถเข้าไปใกล้เด็ดขาด ต้องขับรถออกไปห่าง ๆ ที่นี่เค้าจะห่วงชีวิต และทรัพย์สินของผู้คนมาก แต่ก็ดี ดูแล้วปลอดภัยดี แล้วก็ซ้อมขับรถไปส่งสามีที่สถานีจอดรถบัส ก็ออกจากบ้านไปประมาณ 3-4 กม. ได้ เช้าวันจันทร์ก็เลยเริ่มไปส่งสามีตอนเช้า แล้วเดี๋ยวตอนเย็นก็ต้องออกไปรับประมาณ 5 โมง
อ้อ ได้รับรูปลูกที่ส่งมาให้ดูแล้วหละ จ้ำม่ำมากเลย แต่ยังดูไม่ออกว่าหน้าเหมือนใคร แต่ขาวเหมือนพ่อนะเนี่ย
อ้อยใจ คาลกับมาชา ชอบซีดีงานแต่งมากเลย เค้าบอกว่าเก๋มาก และบอกว่าถ้ามาอยู่ที่นี่แล้วรับทำซีดีหยั่งงี้นะ รวยอื้อเลย
จิต วันหลังไปกินเลี้ยงกันก็ถ่ายรูปส่งมาให้ดูบ้างนะจะได้หายคิดถึง
รักและคิดถึง
ปู