Thursday, February 22, 2007


มีคนบ่นว่าทำไมเมื่อวานนี้ขี้เกียจส่งต้นฉบับ ก็มีบ้างนะจ้ะที่จะอู้งานเป็นธรรมดา
วันอังคารที่ 20 ก.พ. 07 เช้ามาก็ไม่มีอะไรมากเขียนอีเมลล์ ซักผ้า ดูทีวี ตอนเที่ยงครึ่งก็ขับรถไปที่คิงวูด คอลเลจ เพื่อไปสอบเขียน ก็ค่อย ๆ ขับรถไป เพราะเป็นการขับคนเดียวครั้งแรก รู้สึกตื่น ๆ ยังไงก็ไม่รู้ แล้วไม่รู้เป็นบ้าอะไร เวลาเจอสี่แยกไฟแดงจะต้องจอดเป็นคันแรกทุกทีเลย มีสี่แยกนึง กำลังบึ่ง ๆ รถอยู่ไฟมันก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง อีนี่ก็เหยียบใหญ่เลย ตามความเคยชินตอนอยู่เมืองไทย ชาวบ้านเค้าหยุดกันหมด ก็เลยหวั่นวิตกว่าจะมีตำรวจตามมาจับรึเปล่านะเนี่ย แต่ก็มาถึงที่หมายโดยปลอดภัย วันนี้ที่จอดรถค่อนข้างเต็ม เพราะนักศึกษาเค้ามาเรียนกัน ก็เลยจอดค่อนข้างไกล ฝนก็ลงเม็ดเล็ก ๆ จอดรถเสร็จก็โทรบอกกอดอนนิดนึงว่าชั้นมาถึงแล้วปลอดภัยไร้กังวล ก็เดินเข้าไปที่ศูนย์สอบที่เดิม อยู่ชั้น 2 เจ้าหน้าที่เค้าก็บอกว่าจะต้องลงไปติดต่อที่ Ms.Irsura ที่เป็น Advisor เพิ่อไปเอาแบบฟอร์ม ก็งง ๆ เล็กน้อย เพราะคราวที่แล้ว เห็นสอบได้เลย ก็ลงไปที่ชั้น 1 ไป ถามหา Ms.Irsura เจ้าหน้าที่หน้าห้องก็บอกให้รอ แล้วเค้าก็ส่งอีเมลล์เข้าไปบอก แล้วก็อนุญาตให้เราเข้าไปข้างในได้ เข้าไปก็เข้าไปนั่งรอคิวอีก เป็นคนที่ 5 แต่ละคนเข้าไปติดต่อนานมาก เราก็เลยต้องรอตั้งแต่ บ่ายโมงจนถึง บ่าย 2 โมงครึ่ง ก็เข้าไปคุยกับ Ms.Irsura เธอก็บอกว่าผลสอบมาแล้ว เดี๋ยวจะให้ลงทะเบียนเลย สรุปไม่ต้องสอบข้อเขียนอีก ไม่รู้ยังไงงง เราก็เลยขอลงทะเบียนเรียน Speaking & Listening กับ Grammar แต่เนื่องจากเราสอบได้ระดับ 4 ก็เลยขอเค้าลดลงมาเรียนระดับ 3 เค้าก็ไม่ว่าอะไร ก็ไปจ่ายเงินที่อีกห้องนึง ก็เป็นอันเรียบร้อย สรุปเริ่มเรียน 19 มี.ค. จนถึง 13 พ.ค. สำหรับคอร์สแรก เรียนวัน จันทร์ - พฤหัส 10.00 - 15.10 น.
ก็ขับรถกลับมาถึงบ้านประมาณบ่าย 3 โมงครึ่ง ก็มีไปรษณีย์มาแจ้งว่าให้ไปที่ Appication Support Center เพิ่มพิมพ์ลายนิ้วมือและถ่ายรูปเพื่อยืนยันการขอกรีนการ์ด ตั้งแต่ทำเรื่องมาจากเมืองไทยถึงนี่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่จะต้องพิมพ์ลายนิ้วมือกับถ่ายรูป เนื่องจากเค้ากลัวว่าจะไม่ใช่คนเดิม เพราะที่นี่มันมีคนลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและปลอมแปลงเอกสารกันเยอะ ครั้งแรกก็พิมพ์ลายนิ้วมือที่สถานฑูตที่เมืองไทย ครั้งที่สองก็ที่สนามบินที่ซานฟรานซิสโก แล้วก็ครั้งนี้อีกครั้ง เค้าก็นัดให้ไปวันพุธ ที่ 1 มีนาคม บ่าย 2 โมง แต่ข่าวร้ายมาก ๆ คือกอดอนไม่สามารถไปด้วยได้เพราะติดเวิร์คชอบ ต้องไปคนเดียว โอ๊ยอยากร้องไห้ เพราะต้องไปที่ในเมืองที่ฮูสตัส ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมาก กอดอนก็เลยให้ซ้อมขับรถไปดูสถานที่ก่อน วันนี้แหละจะต้องลองขับรถไป กอดอนก็ให้แผนที่มาแล้วก็ให้เราซ้อมขับไปเอง แถมขากลับบอกให้เราแวะไปรับเค้าที่ทำงานด้วย โอ๊ยตายแน่ มีแต่แผนที่มาให้ ยังไม่เคยขับไปเลย ถนนหนทางก็ยังงง ๆ แถมเส้นทางที่นี่เวลาเราขับขึ้นฟรีเวย์เราจะต้องจำทิศ ว่าเป็น West , North, East, or South แล้วก็ หมายเลขฟรีเวย์ วิธีดูทางของเค้าไม่เหมือนบ้านเรา แล้วก็่ต้องจำชื่อถนน เดี๋ยวส่งอีเมลล์เสร็จก็ต้องเตรียมตัวออกจากบ้านประมาณบ่ายโมงตรง
เท่าที่ดูในแผนที่และจากที่กอดอนอธิบายให้ฟังคือ เราจะต้องขับออกจากบ้าน ไปตาม ถ.นอร์ธปาร์ค ขึ้นฟรีเวย์หมายเลข 59 (ที่นี่เค้าจะเรียกไฮเวย์ ว่าฟรีเวย์) ตรงไปเรื่อย ๆ จนเจอทางแยกหมายเลข 610 ให้ไปแยกที่เขียน 610 West ห้ามไป East แล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนเจอทางแยกหมายเลข 290 ให้ขับรถออกที่ทางแยกแรกที่เขียนว่า ถ.Mangum ขับตรงไป 2 สี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายยูเทินใต้ฟรีเวย์ ขับตรงไปชิดขวาไว้ ให้มองหาตึกอยู่ทางขวา ขากลับต้องไปแวะรับกอดอน เค้าก็บอกให้ออกจากตึกขับตรงไปเข้าฟรีเวย์ ไปตามหมายเลข 290 ขับไปเรื่อยๆ จนเจอหมายเลข 610 East แล้วก็ไปแล้วก็ไปเรื่อย ๆ จนเจอแยกหมายเลข 59 South ถ้ากลับบ้านจะต้องไป 59 North แต่เนื่องจากต้องไปรับกอดอนเลยต้องไปแยก 59 South ขับมาเรื่อย ๆ ผ่านแยกหมายเลข 10 ไม่ต้องเลี้ยวให้ตรงมาอีกแล้วลงทางออกถัดไป ไปเจอถนนปกติก็วิ่งไปอีก 3 ทางแยก จนเจอถนน Congress เลี้ยวขวา ไปอีกประมาณ 10 ทางแยก จนเจอถนน Smith เลี้ยวซ้าย แถวนี้จะเป็นวันเวย์หมดเลยถ้าเลี้ยวผิดมีหวังตายแน่ ๆ วิ่งไปตามถนน Smith ผ่านสี่แยกประมาณ 12 สี่แยก ก็จะถึงตึก Chevron โอ๊ย แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังว่าการขับรถผจญภัยวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง ขนาดในเมืองไทยที่กรุงเทพ ยังไม่เคยขับรถไปไหนคนเดียวในเส้นทางที่ไม่เคยไปเลย คราวนี้ล่อเอาขับคนเดียวแถมไม่เคยไปที่อเมริกาเลยนะคะ เก๋มาก ที่กลัวที่สุดเลยคือกลัวเี้ลี้ยวรถผิดเลนส์ ขับเข้าไปในเลนส์ซ้ายนี่แหละ โดนตำรวจจับแน่

โอเค วันนี้คงจะต้องขอลาไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน แล้วพรุ่งนี้จะมาเล่าให้ฟัง
รักและคิดถึง
ปู

Tuesday, February 20, 2007

สถานที่ที่คุณปูสิงสถิตย์อยู่มากที่สุดในบ้าน
อันนี้จะเป็นรูปครัวก่อนการบูรณะใหม่
ไว้เปลี่ยนรูปโฉมใหม่เดือนเมษายนนี้แล้วจะส่งรูปมาให้ดูใหม่ว่าจะสวยงามขนาดไหน
คุณแจ๋วกำลังทำกับข้าว (หน้ามันไปนิด)













สวัสดียามเช้า


วันนี้ออกไปส่งสามีตามปกติ แต่พอกลับมาถึงบ้านแล้วไม่ได้นอนต่อเหมือนเคย มานั่งเขียนอีเมลล์หาดีกว่า มีความรู้สึกว่าถ้านอนต่อทีไร ตื่นสายโด่งทุกทีเลย พอตื่นมาก็ทำอะไรไม่ค่อยทัน แป๊บ ๆ ก็หมดวันแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าต่อไปนี้กลับจากส่งสามีทำงานตอนตี 5 ตัวเองจะไม่นอนละ คงต้องมานั่งจัดเวลาตัวเองให้ดีเวลาอยู่บ้านเพราะไม่งั้นเวลามันจะผ่านไปเร็วมากโดยไม่ได้ทำอะไรเลยใน 1 วัน กะว่าจะพยายามจัดเวลาในช่วงเช้าทำงานบ้าน ทำโน่นทำนี่ให้เสร็จ ประมาณ 10 โมงเช้า รวมทั้งส่งเมลล์ด้วย แล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์เพื่อฝึกการอ่าน ถึงเที่ยง ทำอาหารเที่ยง ช่วงบ่ายดูทีวีเพื่อฝึกการฟัง ถึงบ่าย 3 โมง โยคะ ต่ออีก 1 ชม 4 โมงครึ่งออกไปรับสามี แต่ถ้าเริ่มไปเรียนภาษาก็คงต้องปรับใหม่ เพราะต้องเริ่มเรียน 10 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมง
เมื่อวานตอนเย็นออกไปรับสามีก็เลยไปซื้อโทรศัพท์มือถือ กะว่าจะซื้อตั้งนานแล้วแต่เพิ่งได้ฤกษ์ซื้อซะที ที่คิงวูดมีร้ายขายมือถืออยู่ร้านเดียว ก็มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย แต่ยี่ห้อที่นิยมก็คือ Sony Ericson ราคาโทรศัพท์ที่นี่ถูกกว่าเมืองไทย เครื่องที่ซื้อมาที่เมืองไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 8000- 10000 บาท แต่ซื้อที่นี่แค่ 4000 บาท เจ๋งมาก ตอนจ่ายเงินสามีให้ลองใช้บัตรเครดิตที่เพิ่งได้ชำระ ก็ให้บัตรเครดิตเค้าไป เราก็มัวแต่สนใจอยู่กับเครื่องโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่เค้าก็บอกว่า Mrs. Springate please sing your credit card เราก็ไม่รู้เนอะว่าเรียกเรา เพราะยังไม่ชินกับการเรียกแบบใหม่ Mrs.Springate จนสามีบอก ปูเค้าบอกให้เซ็นชื่อ เฮ่อ เงอะ ๆ เงิ่น ๆ ตามเคย ไปลองรูดบัตรที่ HEB ก็รูดผิดด้าน แถมเซ็นชื่่อในจอเบาเกินไป เครื่องไม่รับ ต้องเซ็นใหม่ ก็คนมันตื่นเต้นนี่หว่า ช่วยไม่ได้ กลับมาที่โทรศัพท์ พอได้มาแล้วความยุ่งยากก็ยังไม่หมดต้องโทรไปที่ Call Center เพื่อขอเปิดใช้เบอร์ ปกติเมืองไทยเราเจ้าหน้าที่เค้าจะทำให้ แต่ที่นี่เราต้องโทรไปเอง ก็เลยให้สามีโทรให้ มันก็ถามโน่นถามนี่ เยอะแยะไปหมด นี่ถ้าโทรเองตายแน่เลย
เบอร์โทรศัพท์ 001-281-794-4963 เผื่อใครอยากโทรมาคุยด้วย
เมื่อวานตอนไปซื้อของที่ HEB เจอผู้หญิงไทยด้วย เค้าก็มอง ๆ เรา เราก็เห็นแล้วหละ แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่คนไทย เพราะตั้งแต่มาอยู่ยังไม่เคยเจอคนไทยเลย จนในที่สุดเค้าทนไม่ไหวเดินเข้ามาถามเป็นคนไทยรึเปล่าคะ ก็คุยกันแป๊บนึง ดูหน้าตาเค้าดุ ๆ เหมือนกัน อายุ 43 ชื่อนวล มาอยู่อเมริกาได้ 10 ปีแล้ว แต่มาอยู่ที่ เท็กซัสได้ 6 ปี เค้าก็ใ้ห้เบอร์โทรมาบอกว่ามีอะไรก็โทรไปหาได้ เ้ค้าไม่ค่อยได้รู้จักกับคนไทยที่นี่เท่าไหร่ ก็ได้ข้อมูลมาแค่นี้แหละไม่ค่อยได้คุยอะไรมาก เพราะอ้อบอกไว้ว่าอย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน เอาไว้มีโอกาสค่อยโทรไปหาเค้าอีกที
เมื่อคืนดูทีวีมีหนังที่ทำโดยคนจีน มีตัวเด่นเป็นผู้หญิงอังกฤษ แต่เนื้อหาคือเรื่องราวของรัชกาลที่ 5 ก็งงมากเลย ทำไมเค้าถึงอนุญาตให้สร้างได้เนอะ ให้คนจีนมาแสดงเป็นรัชกาลที่ 5 แล้วก็ฉากต่าง ๆ ก็เป็นในวัด ในวัง แล้วก็พูดไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง แต่เป็นคนจีนพูดไทยหนะ มันเลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หนังยาวมากประมาณ 3 ชม. ดูไม่จบหรอกเพราะหลับซะก่อน ดูแล้วทำให้คิดถึงเมืองไทย แต่อีกใจนึงก็ไม่ชอบเลยที่คนจีนเอากษัตรย์เราไปทำเป็นหนัง
หลาย ๆ คนส่งเมลล์มาบอกว่าดีใจด้วยที่รู้สึกว่าเราเริ่มดีขึ้น กับการอยู่ที่นี่ แต่อยากจะบอกว่า ความรู้สึกมันก็ยังเคว้งคว้างอยู่ เพราะปัญหาตัวเดียวเลย คือภาษาอังกฤษ ไม่คิดเลยว่าภาษาอังกฤษที่นี่เค้าจะพูดกันเร็วและรัวขนาดนี้ ประโยคก็ไม่เหมือนที่เราคุ้นเคยเลย ส่วนปัญหาที่สองที่ยังเผชิญอยู่ก็คือลูก ๆ ของสามี ก็ยังบรรยากาศเหมือนเดิม คือเค้าไม่พูดด้วย เราก็เราเงียบไปด้วย ไม่พูดด้วย ตูก็ไม่พูด ออกไปกินข้าวนอกบ้านตูก็นั่งเงียบ เผอิญตัวเองเป็นคนนิสัยเสียอยู่แล้วคือ ถ้ารู้ว่าใครไม่อยากคุยด้วย เราก็จะไม่พยายามที่จะคุยก็จะเงียบไปเลยเหมือนกัน แถมพูดกันคนละภาษาด้วยยิ่งแล้วใหญ่เลย แต่ยังดีที่เค้าจะมาแค่เสาร์ อาทิตย์ แล้วก็มากินข้าวเย็นด้วยทุกวันพุธ นอกนั้นเค้าก็อยู่บ้านแม่เค้า รู้สึกเครียดนะเวลาเค้ามา ทำตัวไม่ค่อยถูก เฮ่อ......แต่เมื่อวันอาทิตย์น้องสาวสามีชือ ชาเมน โทรมาจากคานาดา เค้าจะโทรมาถามเรื่องเราตลอดว่าเป็นยังไงบ้าง จนสามีบอกให้คุยกับน้องสาวเค้าหน่อย ก้เลยบอกสามีไม่เอาหรอกไม่คุย เดี๋ยวคุยกันไม่รู้เรื่องคุยทางโทรศัพท์ด้วย สามีก็ไม่ยอมเค้าบอกว่าให้คุย เอ้าคุยก็คุย ชาเมนก็น่ารักมากพยายามพูดช้า ๆ แล้วก็ชัด เค้าก็ถามสารทุกข์สุกดิบ ดูน้ำเสียงค่อนข้างใจดี อายุเค้าก็ประมาณ 44 ปีแล้ว สามีบอกเค้านิสัยเหมือนชั้นเนี่ยแหละเพียงแต่เป็นผู้หญิง เลยค่อยรู้สึกดีหน่อย
ตอนนี้น้ำหนักลดไป 3 กก จากเดิม 44 ตอนนี้เหลือ 41 โอ๊ยไม่อยากเชื่อเลย กินก็กินเท่าเดิม ความเย็นมันทำให้ร่างกายดึงไขมันออกไปใช้หมดเลย ตอนนี้เลยต้องพยายามดื่มนมทุกวัน เพื่อเพิ่มไขมัน แต่ยังงั้ย ยังงัย น้ำหนักก็ไม่ขึ้นซะที ขึ้นอย่างมากก็แค่ 41.7 พอตอนเช้าก็ลงไปเหลือ 41.2 เท่าเดิม
โป่่งถามว่าทำไมส่งรูปมายังคาดผมเหมือนเดิมเลย จะไม่ให้คาดได้ยังไงหละ ผมหงอกเต็มกะบาลเลย ไอ้ส่วนนั้นหนะ ถอดที่คาดผมออกเป็นแหลมออกมาทุกที ลำบากมากเลยไม่มีคนถอนให้ ต้องยงโย่ยงหยกถอนเอง แถมผมก็หยิกด้วยตรงข้างหน้ากับโคน ถ้าปล่อยที่คาดผมปั๊บ ผมจะหยิกหยองเลยหละ เวรกรรมจริง ๆ
พี่ไก่ ปริ้นท์ ไปให้คุณพ่อ คุณแม่ อ่านบ้างนะ แล้วเมื่อไหร่ คอมที่บ้านจะใช้ได้ซะที
เหน่ง อย่าลืมเก็บเงินมาเยี่ยมชั้นนะ แต่มาที่นี่ตื่นเต้นกว่าไปสิงคโปร์เยอะเลย เพราะต่อเครื่องเยอะมาก
อ้อ ได้ที่อยู่คุณแดนแล้วหละ แต่อยากได้อีเมลล์นลด้วย หาให้บ้างนะ ว่าแต่ว่านลอยู่รัฐไหนอ่ะ
วันนี้แค่นี้ก่อนนะจ้ะ ต้องเตรียมตัวไปสอบภาษาอังกฤษตอนบ่าย ต้องขับรถไปคนเดียวด้วย รู้สึกเสียว ๆ อยู่แล้วพรุ่งนี้จะมาเ่ล่าให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้าง
รักและคิดถึง
ปู

Monday, February 19, 2007

Key West / Florida / California











San Ramon / Sanfrancisco / California Trip


สวัสดีจ้า เพื่อน ๆ ที่รัก

San Ramon 13-15 February 2007

หายหน้าหายตาไปหลายวัน อาทิตย์ที่แล้ววันที่ 13-15 ก.พ. ก็ต้องเดินทางตามสามีไปทำงานอีกแล้ว เบื่อกับการขึ้นเครื่องบินมาก ๆ ต้องออกจากบ้านแต่เช้าเหมือนเคย แต่สามีขับรถไปเองไปจอดไว้ที่สนามบิน ที่นี่เวลาเราขับเราเข้าไปที่จอดรถเราจะต้องกดเอาบัตรจอดรถเอง จะไม่มีคนคอยบริการ แต่ตอนกลับจะมีคนคอยเก็บเงิน ก็ไปขึ้นเครื่องที่สนามบินเดิม ไปลงที่ สนามบิน Oakland ซึ่งอยู่ใน Sanfrancisco, California ใช้เวลาอยู่บนเครื่อง 3.5 ชม. พอไปถึงก็ต้องต่อแท็กซี่ไปโรงแรมประมาณ 40 นาที ไปพักที่ Marriot อยู่ในเมือง San Ramon จริง ๆ แล้วเราสามารถขับรถจากสนามบินไปถึงโรงแรมได้ภายใน 10 นาที แต่เนื่องจากต้องอ้อมเขา ทำให้เสียเวลา เมืองที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา แล้วก็บ้านคนจะสร้างอยู่บนเขา เขาเล็ก เขาน้อย เขาใหญ่ ส่วนพื้นที่ราบส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งธุรกิจ ค้าขาย บ้านแต่ละหลังที่อยู่บนเขา ค่อนข้างหลังใหญ่ สามีบอกว่า แต่ละหลังราคาไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท แพงมากๆ ที่นี่อากาศก็คล้าย ๆ กับ คิงวูด คือค่อนข้างหนาว แต่ไม่หนาวจัด อุณหภูมิก็จะอยู่ประมาณ 2-10 องศา

ก็เหมือนเดิม สามีไปทำงานเราก็ไปเดินชอปปิ้ง มีห้างสาขาเดียวกันเลยกับที่คิงวูดส์ คือ Target ของส่วนใหญ่ก็จะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ก็เดินไปเดินมาได้มา 2-3 ตัว กางเกงยีนส์ที่นี่เนื้อดีมาก ๆ เวลามันเซลล์ราคาก็ถือว่าไม่แพง ซื้อมาตัวนึง ราคาแค่ 800 บาท เนื้อผ้าคุณภาพดีมาก แล้วก็ทรงสวย สามีกลับมาตอนเย็นบอกว่าเป็นห่วงเธอมากไม่รู้ว่าจะอยู่คนเดียวได้รึเปล่า แต่ที่ไหนได้กลับมาเจอคุณนายช็อปปิ้งซื้อเสื้อผ้ามาเพียบ ฮิ ฮิ

แล้วก็ร้านหนังสือ ที่นี่ร้านหนังสือใหญ่มากมีหนังสือเยอะมาก เค้าจะมีจอคอมไว้ให้ค้นหาหนังสือ จะได้หาง่าย ก็สะดวกดี ไปนั่งอ่านยืนอ่านอยู่ครึ่งค่อนวัน พออ่านเสร็จก็กลับไม่ได้ซื้อออกมาซักเล่มเลย ตามสันดานงกเช่นเคย ส่วนคืนวันวาเลนไทน์ สามีก็บอกว่าจะพาไปรับประทานอาหารอย่างหรู และสุดแสนจะโรแมนติก วางโปรแกรมกันว่าจะกินเสต็กเนื้อแกะ ก็เรียกรถแท็กซี่มารับที่โรงแรม เพื่อไปที่ร้านพอไปถึงร้านประมาณ 1 ทุ่ม โอ้โห โต๊ะเต็มหมด ต้องรอคิว 1 ชม โอ้พระเจ้าช่วยใครจะไปรอไหว เพราะต้องนั่งรอนอกร้านซึ่งอากาศหนาวมาก ๆ ก็เลยเตร็ดเตร่ดูร้านอื่นสรุปมีร้านใกล้ ๆ อยู่แค่ร้านเดียว เป็นภัตตาคารจีน สามีก็เลยถามสรุปจะเอายังไง ไอ้เราก็หนาวมาก ก็เลยเอาวะ ร้านไหนก็กิน ก็เลยได้เข้าไปนั่งในเหลาจีน มีแต่คนจีน บรรยากาศ แบบร้านจีนโบราณ ตูจะบ้าตาย มีแต่คนส่งภาษาจีนกันทั่วร้าน เฮ่อ จากร้านอาหารฝรั่งสุดหรู กลับต้องมานั่งกินอาหารจีน บรรยากาศโรงเตี๊ยม เวรกรรมของชั้นจริง ๆ เลย พอกลับมาบ้านสามีก็เลยปลอบใจพาไปกินใหม่อีกทีแถวบ้าน ชื่อร้าน Red Robster ค่อยยังชั่ว บรรยากาศใช้ได้

ตอนที่อยู่ที่โรงแรมเช้ามาสามีจะไปทำงานแต่เช้า เราต้องหาอะไรกินเองตอนเช้า ก็สามารถไปที่ ห้องรับรองวีไอพีของโรงแรมเพราะเราเป็นสมาชิก สามีก็บอกว่าอาหารเช้าจะมีตอน ตี 5 - 9 โมงเช้า หลังจากนั้นก็จะมีแต่เครื่องดื่ม อีนี่ก็ตื่นไม่ทันตื่นสายโด่ยมาก็ 9 โมงแล้ว กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาเข้าไป 10 โมง หิวซ่กเลย ทำไงดีวะ เอ้าเครื่องดื่มอย่างเดียวก็ดีวะ ดีกว่าไม่ได้กินอะไรเลย ก็ไปที่ห้องรับรอง จะต้องใช้การ์ดรูดเข้าไป ก็ไม่มีใครเลย เค้าไปกันหมดแล้ว ก็ชงชากิน แล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี เจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่ประจำที่ห้องรับรองก็เดินเข้ามาคุยด้วยถามโน่นถามนี่ ว่าเป็นคนชาติอะไร พักอยู่ที่ไหน ก็คุยกันได้ถูกอกถูกคอ พี่แกก็เลยเข้าไปยกขนมมาให้กิน เต็มไปหมดเลย มีคุกกี้ มัฟฟิน กล้วยลูกเบ้อเริ่ม เราก็กินได้นิดเีดียวเหลือเพียบ ก็เกรงใจเนอะ กลัวเค้าจะเสียน้ำใจ ก็เลยห่อใส่กระเป๋ากลับไปหมดเลย ฮิ ฮิ

ไม่อยากจะบอกเลยว่ามะเขือเทศ ที่นี่อร่อยมาก ลูกเบ้อเริ่มแล้วก็หวาน รสชาติไม่เหมือนบ้านเรา อยู่บ้านเราไม่ชอบกินเลย แต่มาอยู่นี่กินได้แทบทุกวัน แครอทด้วย จะมีพันธ์เล็ก ๆ แล้วก็หวาน สามารถกินเล่นได้เลยหละ แล้วก็มีน้ำเปล่าสามีซื้อให้กินที่สนามบิน อร่อยมาก เป็นน้ำเปล่าแบบใส่กลิ่นสตอเบอรี่ Strawberry Splash ของ Nestle อร่อยมาก ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองชิมจังเลย แล้วก็สตอเบอรี่ที่นี่ลูกใหญ่ แล้วก็หวานมาาาาาาาาาาาก แต่ก็แพงมาาาาาาาาาก เหมือนกัน ถ้ากลับไปจะซื้อแต่ของกินไปฝากนะ เพราะขนมเค้าเจ๋ง ๆ ทั้งนั้น เลย แต่ไม่รู้จะผ่านด่านเข้าเมืองไทยได้รึเปล่า

Back home

วันศุกร์พอมาถึงบ้าน เฟอร์นิเจอร์ที่สั่งซื้อจากเมืองไทยก็มาถึง โอ้โหเค้าแพ็คมาอย่างดี แพ็คด้วยไม้ ต้องมานั่งงัดกันอยู่ครึ่งค่อนวัน เพราะมันหลายชิ้น เป็นไม้แกะสลักจากเีชียงใหม่ สวยงามมาก รวมราคาของบวกค่าขนส่งประมาณ 8 หมื่นกว่าบาท เรารู้สึกว่าแพง แต่สามีบอกว่า ถ้าเรามาหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ไทยแบบนี้ที่นี่ตกราคาประมาณ 3 แสนบาท เลยรู้สึกถูกขึ้นมาทันทีเลย ใครคิดจะมาขายเฟอร์นิเจอร์ที่นี่บอกนะ รวยแน่เลย เพราะเท่าที่ดูเฟอร์นิเจอร์ที่นี่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ธรรมดามาก แถมยังแพงอีก สู้เฟอร์นิเจอร์เมืองไทยไม่ได้เลย แกะสลัักไม้อย่างงาม

ตกตอนเย็นก็ไปซื้อของที่ HEB เช่นเคย แล้วก็ไปปีนฟุตบาธ มาเรียบร้อย เนื่องจากจะต้องเลี้ยวรถแล้วเผอิญอิชั้นกะไม่ถูกก็เลยปีนฟุตบาธ แหะ แหะ ดีนะรถไม่เป็นอะไร แต่ค่อนข้างจะอายคน รถมันใหญ่ง่ะ ไม่เคยขับนี่หว่ารถกระบะหนะ พอขับกลับบ้านก็ขับผ่านคนกำลัังเดินอยู่ข้างถนน เราก็ขับธรรมดาเหมือนอยู่เมืองไทยคือขับตรง ๆ บนถนนแต่ไม่ได้ไปเฉี่ยวเค้า แต่เค้ากระโดดขึ้นขอบถนนเลย สามีดุใหญ่เลยบอกว่าเธอขับรถแบบนี้ไม่ได้ เวลาเห็นคนเดินอยู่ข้างถนน ต้องขับรถอ้อมออกห่าง ๆ ห้ามเข้าไปใกล้ หรือขับตรง ๆ เด็ดขาด เฮ่อ ตูจะบ้าตาย

แผน ดีมากๆ เลยที่ส่งข่าวสารบ้านเมือง จากเมืองไทยมาให้ได้รับรู้บ้าง เพราะตอนนี้ตกข่าวมาก ๆ ไม่มีเวลาเข้าไปอ่านเลย อย่าลืมส่งข่าวมาเรื่อย ๆ นะ จะรอ

แต้ม ที่อยู่ชั้นดูในเว็บเลยนะ เก็บเงินเร็ว ๆ หละจะคอย

อ้อยใจ สามีถามว่ามีแผนจะมาเยี่ยมเราเมื่อไหร่ เค้าจะจดลงตาราง

พฤกษ์ จ่ายเงินเจ๊อัฐ บ้างรึเปล่า อย่าให้เสียเครดิตล่ะ

อ้อ นมเด็กน่ะ ถ้าส่งจากที่นี่ไปมันก็แพงน่ะสิ ถามว่าดีกว่ามั้ย ที่นี่ดีกว่าอยู่แล้วหละ

HR Team เป็นยังไงกันบ้าง ยังสบายกันดีอยู่รึเปล่า อย่าลืมส่งข่าวบ้างนะจ้ะ แล้วก็ฝากบอกเจ๊สมใจด้วยว่าคิดถึงมาก ๆ อยากได้อะไรเดี๋ยวกลับไปจะซื้อไปฝาก ยกเว้นผู้ชายนะ

อ้อย สามีบอกว่าอยากหาแฟนให้อ้อยจังเลย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาใครให้

พี่จุ๊ ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำเรื่อง Web แต่โหลดรูปไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้ทำไม

รักและคิดถึงทุก ๆ คน

ปู

Key West / Florida Trip

หวัดดีจ้า โอ๊ยคิดถึงเพื่อน ๆ จังเลย ไม่ได้ส่งอีเมลล์มา 1 อาทิตย์


Key West / Florida Trip

ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว ก็คือออกเดินทางตามสามีไปทำงานที่ Key West รัฐฟลอริดา จริง ๆ แล้วที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวอเมริกันชอบไปเที่ยวเพราะเป็นเกาะ แล้วก็เป็นเมืองเก่า มีประวัติศาสตร์มายาวนาน เราก็เริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าวันอังคารที่ 6 ออกจากบ้านตี 5 มีรถของบริษัทสามีมารับไปที่สนามบิน Bush Continental International Airport เครื่องออก 06.30 ต้องไปต่อเครื่องที่ FT. Lauderdale ที่ฟลอริดา แล้วก็ต้องต่อเครื่องบินเล็กไปอีกที เพื่อไปที่เกาะ Key West ใช้เวลา 1 ชม.เศษ เครื่องบินเล็กมาก นั่งได้แค่ข้างละ 1 คน นั่งได้ทั้งหมด 14 คน โอ๊ยหวาดเสียว แล้วก็ไม่มีห้องน้ำ ต้องเข้าไปให้เรียบร้อยก่อน เครื่องจะบินเหนือทะเล แต่ขากลับสามีเปลี่ยนเป็นออกจาก Key West แล้วก็ไปต่อเครื่องที่ Tampa แทน คนที่นี่นั่งเครื่อง ต่อเครื่องกันเป็นเรื่องปกติมากเลย เหมือนเวลาเราต่อรถเมลล์ไม่มีผิด เวลาขึ้นไปบนเครื่องฝรั่งหัวแดงทั้งหลายก็จะเปิดไฟอ่านหนังสือ ส่วนอิชั้นคนไทย หัวดำ หลับอย่างเดียว ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น ก็ใครจะไปอ่านไหวนั่งบนเครื่องบินแล้วอ่านหนังสือไปด้วย ปวดหัวตายเลย สรุปนอนดีกว่า

พอมาถึงคีเวสต์ วันแรกอากาศค่อนข้างเย็น แต่วันต่อๆ ไปอากาศดีมากแค่ 22-23 องศา ไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวเลย ก็มาพักที่ Pier House Resort อยู่ติดทะเล แต่ทะเลเค้ายังไงก็สู้บ้านเราไม่ได้ ของที่นี่ก็โคตรแพงเป็น 2 เท่า ของที่อื่น พักที่นี่ตั้งแต่วันอังคาร - วันศุกร์ ตื่นเช้ามาสามีก็จะออกไปเอาอาหารเช้ามาส่งส่วยให้ที่ห้อง แล้วก็ไปประชุม ทำ Workshop ตั้งแต่เช้ายันเย็นตลอด 3 วัน แต่ตอนเที่ยงกับตอนเย็นก็กลับมาพาอิชั้นออกไปหาอะไรรับประทาน เพราะคิดว่าถ้าไม่พาไป อิชั้นคงอดตายแน่นอน ระหว่างที่สามีไปทำงานไม่รู้จะทำอะไรก็เลยเดินเรื่อยเปื่อย ไปตามถนน ที่เป็นแหล่งชอปปิ้ง ก็มีร้านค้าขายของเยอะแยะไปหมด ก็เดินมันทุกวัน เข้าไปดูเสื้อ โอ้โห เสื้อกล้ามสายเดี่ยวในตลาดนัดเราดี ๆ นี่เอง ขนาดลดราคาแล้วนะ ยังปาเข้าไปตั้ง 200 กว่าบาท แต่ก็เอาวะซื้อก็ซื้อ เพราะมันถูกสุดละ ได้มา 2 ตัว ส่วนเสื้อแบบอื่นก็ไม่ต้องพูดกันแพงมาก เสื้อคล้าย ๆ เสื้อวอร์ม กับกางเกงวอร์ม หนึ่งชุดปาเข้าไป 4000 บาท ก็ขอเค้าลองไปงั้นแหละ แล้วก็ไม่ซื้อ ดีนะมันไม่ด่าเอา ส่วนใหญ่ร้านค้าที่นี่จะเป็นชาวอิสราเอล คุยกันไปคุยกันมา บางคนก็เคยไปเที่ยวเมืองไทย แต่ดูหน้าตาอีไม่ค่อยน่าคบเลยดูเค็มๆ แล้วก็มีเล่ห์เหลี่ยมยังไงก็ไม่รู้

ส่วนร้านอาหารที่นี่ก็เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ก็คืออาหารฝรั่ง ต้องรอให้สามีสั่งให้อย่างเดียวเพราะไม่รู้จักเลย ถ้าจะให้สั่งง่ายสุดก็จะเป็นสลัด สลัดที่นี่มีเยอะมาก แล้วก็อร่อย มันจะแตกต่างกันตรงน้ำสลัด กับเนื้อที่เค้าจะใส่ว่าเป็นอะไร แต่ถูกปากอิชั้นหมดเลย อ้อลืมไปไปเจอร้านอาหารไทยด้วยชื่อ Thai restaurant ลองดูเมนูหน้าร้านแล้วแพงมาก ๆ ก็เลยไม่กิน เพราะคิดว่ากลับมาทำกินเองที่บ้านดีกว่าถูกกว่ากันเยอะเลย ก็คิดดูสิ ผัดไทย 600 บาท ต้มยำกุ้ง 300 บาท ข้าวผัด 600 บาท แกงเผ็ด 800 บาท โอ๊ยแพงมาก แพงกว่าอาหารฝรั่งมากแถมร้านก็ไม่น่านั่งเท่าไหร่

ที่เที่ยวอื่น ๆ ที่นี่ เท่าที่เดินดูก็จะมีพวกพิพิธภัณฑ์ แล้วก็บ้านช่องเค้าน่ารักมากอยู่ริมถนน บ้านจะออกโทนสว่าง สีขาว ฟ้าอ่อน เขียวอ่อน ไม่เหมือนแถวคิงวูด บ้านแต่ละหลังก็จะมีป้ายติดไว้ว่าสร้างตั้งแต่สมัยไหน ส่วนใหญ่จะสร้างกันมาเกินร้อยปีแล้ว แต่เค้าค่อนข้างจะดูแลดี ทาสีใหม่ ทำให้ไม่เก่า มีทั้งหลังเล็ก หลังน้อย บางหลังก็เอามาทำเป็นร้านอาหาร ที่นี่จะเป็นแหล่งตำนานของเรื่อง Pirate of the Caribbian ที่นี่จะเป็นเมืองประวัติศาสตร์มีประวัติที่น่าสนใจเยอะแยะเต็มไปหมด แล้วก็จะมีพวกแกลลอรี่ แล้วก็รถรางชมเมืองก็เยอะ กำลังเดิน ๆ อยู่ ก็มีเสียงจากคนขับรถไฟพูดใส่ไมค์ตามหลังเรามา ก็ไม่รู้หรอกว่าพูดแซวเรา พอนึก ๆ ไปเอ๊ะมีเราเดินอยู่คนเดียวนี่หว่า ก็เลยหันไปดู คนบนรถรางหัวเราะกันใหญ่เลย แล้วก็โบกมือให้ อายชิบเป๋งเลย ก็เลยต้องโบกมือตอบ แล้วก็ยิ้มแหย ๆ เดินไปเดินมา มีฝรั่งมาถามทางอีกต่างหาก ไม่ได้ดูเล้ยว่าอีนี่หน้าออกจะเอเซีย แล้วก็หน้าเงอะ ๆ งะ ๆ จะไปรู้ทางได้ยังไงวะ ตัวเองยังเดินหลงไป หลงมาเลย

ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่กิจกรรมหลัก ๆ ก็คือ ดำน้ำ ขับเรือยอร์ช เล่นเรือใบ กิจกรรมแบบแพง ๆ ทั้งนั้นเลย เดินหลงเข้าไปในชมรมเรือยอร์ช โอ้โหเรือยอร์ช เยอะมาก ๆ แล้วก็สวย ๆ ทั้งนั้นเลย ส่วนเรือใบก็ลำใหญ่มากแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในเมืองไทยเลย ส่วนโรงแรมที่นี่ก็ค่อนข้างแพง ขั้นต่ำแบบกระจอก ๆ แล้วก็อยู่ที่ คืนละ 8000 บาท แพงมาก สามีวางแผนว่า เดือนมีนาคมนี้โรงเรียนปิดจะพาลูก ๆ มาเที่ยวที่นี่อีก ก็เลยให้อิชั้นไปจองโรงแรมอีกแห่งนึงอยู่ริมทะเลเหมือนกัน ก็เลยเดินดุ่ม ๆ เข้าไปชื่อโรงแรมฮิลตัน เข้าไปขอจองห้อง เดือนมี.ค. 12-16 เค้าบอกต้องจองผ่านอินเตอร์เน็ต เค้าไม่สามารถรับจองได้ ก็เลยถามราคาเค้า โอ้โหแพงใช้ได้ ถ้าเป็นโรงแรมริมทะเล ห้องละประมาณ 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับฤดูกาล แต่ถ้าจะไปพักเป็นบังกะโล ที่เกาะเล็ก ๆ ห่างออกไปประมาณ 200 ม. ก็อยู่ที่ 50,000 บาท โอ๊ยจะเป็นลม สามีก็เลยตัดสินใจ เอาแค่เป็นโรงแรมพอเพราะต้องต้องจอง 2 ห้อง เวลาเราขอดูห้องโรงแรมที่นี่ก็เจ๋งมากเลย เค้าจะให้กุญแจเราไปดูเองเลย ไม่เหมือนเมืองไทย จะมีเจ้าหน้าที่คอยตามมาเปิดห้องให้ พอดูเสร็จก็แค่เอากุญแจไปคืน

วันกลับระหว่างรอขึ้นเครื่องก็เดินเล่นกันไปเรื่อย ๆ ไปเจอสปาไทย ชื่อ Prana Spa สามีตื่นเต้นใหญ่เลย เค้าแหละเป็นคนเห็น บอกว่าต้องเป็นสปาไทยแน่นอน เพราะชื่อเหมือนคนไทย ก็เลยเข้าไปดูใช่จริง ๆ ด้วยเป็นสมุนไพรไทย แล้วก็มีนวดแผนไทย เค้าเปิดเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ น่ารักมาก ตกแต่งง่าย ๆ เพราะเป็นบ้านหลังเล็กนิดเดียว ด้านหลังก็คงจะเป็นห้องนวด มีโซฟารับแขกเป็นหวายแค่ตัวเดียว แต่ไม่เจอคนไทย เจอฝรั่งผู้ชายนั่งคอยรับแขกอยู่คนเดียว ก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นสามีของเจ้าของที่เป็นผู้หญิงไทย แต่ราคาแพงมาก นวดแผนไทย ชั่งโมงเดียวปาเข้าไป 4000 บาท ก็เลยเผ่นอีกเหมือนกัน

Back home / Kingwood

กลับมาถึงบ้านเย็นวันศุกร์ โอ๊ยเหนื่อยมาก นอนหลับแต่หัววัน ส่วนวันเสาร์ ก็ยุ่งอยู่กับการซักผ้า ช่วยกันสองคนผัวเมีย เสื้อผ้าเต็มไปหมด แต่ดีว่าเครื่องซักผ้าที่นี่ซัก แล้วก็อบแห้งเลยไม่ต้องตาก ก็เลยง่ายหน่อย แต่คุณสามีแล่นแยกสีเสื้อผ้าหมดเลย ไม่ซักปนกัน ก็เลยซักมันทั้งวัน ปาเข้าไปเป็น 10 รอบ บางรอบมีแค่ 3 ตัวเอง เปลืองไฟชิบเป๋งเลย ตกตอนบ่ายก็ยุ่งกับการไปเลือกกระเบื้องปูพื้นครัวที่ Low's ไม่เสร็จไม่สิ้นซะที ตอนบ่ายประมาณ 15.30 สามีก็ไปทิ้งอิชั้นสอบภาษาอังกฤษที่ Kingwood College เจ้าหน้าที่เค้าก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง พาเราเข้าไปนั่งในห้องสอบหน้าคอมพิวเตอร์ แล้วก็บอกให้ใช้หูฟังแค่นั้นแหละแล้วก็ไม่บอกอะไรเลย เราก็เลยลองนั่งดูหน้าคอม ใส่หูฟัง มันก็จะมีคำสั่งบอกให้ทำโน่นทำนี่ ก็มีข้อสอบให้สอบทั้งหมด 3 ชุด เริ่มจาก Listening ก่อน แล้วก็ให้เราตอบลงไปในคอมพิวเตอร์เลย ไฮเทคดี แล้วก็ตามด้วย Reading and Grammar ก็ใช้เวลาสอบไปประมาณ 1 ชม. แล้วก็รูคะแนนเลย โชคดีว่าคะแนนไม่อุบาทว์มาก Reading ได้ 78 คะแนน Grammar ได้ 78 คะแนน แต่ Listening ได้น้อยแค่ 66 คะแนน เค้าก็เลยให้ไปเรียน Reading ระดับ 3 ,Grammar ระดับ 4 , Listening and Speaking ระดับ 2 ทั้งหมดจะมี 5 ระดับ แต่เค้าบอกว่าให้กลับมาสอบ การเีขียนบทความ Writing อีกทีนึงเพราะวันนี้เวลาไม่พอ เลยต้องกลับไปสอบเพิ่มอีกอาทิตย์หน้า เท่าที่ดูส่วนใหญ่คนที่มาสอบก็หน้าตาเป็นฝรั่งทั้งนั้นเลย ไม่รู้มาจากไหนกันบ้าง แต่เดาว่าน่าจะมาจากโซนยุโรป พวก ฝรั่งเศส รึไม่ก็สเปน เพราะพวกนี้ภาษาอังกฤษก็ห่วยพอ ๆ กับบ้านเรา

วันอาทิตย์ยุ่งหนักเข้าไปอีกเพราะ คาลกับมาชา จะมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน โอ๊ยเลยเดือดร้อนอิชั้นต้องเตรียมอาหารตั้งแต่ 10 โมง เพื่อไม่ให้น้อยหน้า ต้องแสดงฝีมืออาหารไทยสุดฤทธิ์ ก็มีต้มยำกุ้งใส่ในหม้อดินมีไฟจุดด้วยนะขอบอก แล้วก็ปลานึ่งมะนาว (ใช้ปลาของบ้านเค้าก็อร่อยดี) ใส่ในหม้อดินที่เป็นรูปปลาแ้ล้วก็มีไฟจุดข้างใต้เหมือนกัน (ไปซื้อมาจากเกาะเกร็ด) แล้วก็ผักเปรี้ยวหวานไส่ไก่ สับปะรด พริกหวานแล้วก็เม็ดมะม่วง จานที่ใส่ไม่ธรรมดานะคะ อิชั้นก็คว้านสับปะรดเป็นถ้วยแล้วก็เอาส่วนที่เป็นใบก็ทิ้งเอาไว้เพื่อความสวยงาม ตามด้วยผักบร็อคโคลี่ใส่กุ้งจานใหญ่ และสุดท้ายข้าวผัดปู แต่ทำเอาเหงื่อแตกเลย เพราะหันซ้ายหันขวาอยู่คนเดียว กลัวเวลาไม่ทันด้วย เพราะแขกจะมาตอน 12.30 น. แล้วก็มากันตรงเวลามากเลย ตอนแขกมาเหลือผัดข้าวผัดอย่างเดียวก็เลยรอดตัวไป ของหวานก็ตามด้วยสับปะรดที่เหลือจากผัดเปรี้ยวหวาน แถมส้อมจิ้มจากเมืองไทยก็น่ารักมาก เป็นรูปแตงโมง ตรงหัว เรียกเสียงกรี๊ดได้ไม่เบา พอเสร็จแล้วสามีก็เปิดซีดีงานแต่งให้แขกดู โอ๊ยมีคำถามเยอะแยะมากมาย ตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง โดยเฉพาะเค้าถามว่าทำไมตอนรดน้ำสังข์ต้องมีการเจิมหน้าผาก แล้วก็ทำไมต้องมีสายคล้องหัวเจ้าบ่าว เจ้าสาว ตอบไม่ถูกแหะ ๆ ใครตอบได้ช่วยตอบที พอมานั่งดูซีดีงานแต่งอีกทีแล้วก็ทำให้คิดถึงเพื่อน ๆ จังเลย สามีก็จะคอยเรียกชื่อคนนั้นคนนี้ จำได้หลัก ๆ อยู่ 3-4 คน ก็มีอ้อยใจ อ้อย เหน่ง จี๊ด เอ็กซ์ โอ๊ท นอกนั้งยังจำชื่อไม่ค่อยได้ เพราะมันเยอะเหลือเกิน ส่วนชื่อโป่ง บอกไม่รู้กี่ทีแล้วก็ยังจำไม่ได้ซักที ต้องถามใหม่ทุกที ไม่รู้ทำไม

พอแขกกลับก็ไปหัดขับรถ ขับกระบะเครื่องแรงดี แต่กะไม่ค่อยถูกเวลาอยู่บนถนนเค้าบอกว่าเราจะขับค่อนไปทางขวาเกินไป คือเรื่องของเรื่องต้องขับเลนส์ขวา แล้วมีความรู้สึกว่ารถที่วิ่งมาหาเราจะเข้ามาชนเราทุกทีเลย เพราะเราชินกับเลนซ้าย แล้วก็จะคอยเลี้ยวไปเลนทางซ้ายทุกทีเลย มันยังไม่ชินกับเลนหนะ ความสับสนในเรื่องการเลี้ยว ทำให้เราสับสนกับการจำทางด้วยว่าจะต้องเลี้ยวไปไหน ตรงไหน ใหม่ ๆ คงไม่กล้าขับคนเดียว เพราะกลัวเลี้ยวผิด ขับไปสวนกับเค้าละซวยเลย ก็ลองขับไปที่ College เพราะจะต้องขับไปเรียนคนเดียว ก็พอจะจำทางได้ละ เพราะสามีให้ขับไปขับมา 2 รอบ ก็อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 10 กว่าโล ไม่ไกลเท่าไหร่ แถมที่นี่่จะชอบมีป้าย Stop ตามทางแยกในแหล่งชุมชน เราก็ต้องหยุดดูซ้ายดูขวา ห้ามขับโดยไม่หยุดเด็ดขาด แ้ล้วก็ห้ามจอดเลยเส้นสีขาว จะโดนสามีดุตลอดเลยเวลา ไม่ทำตามกฎ เพราะเค้าบอกกฎที่นี่เข้มงวดมากห้ามฝ่าฝืนกฎเด็ด่ขาด ส่วนบางแยกไม่มีป้ายให้หยุดเราก็ชินกับการชลอดูรถ เค้าก็บอกไม่ให้หยุดให้ขับไปเลย ถ้าเธอหยุดรถหลังเค้าจะชนตูดได้ เพราะไม่ได้มีป้ายให้หยุด เครียดเลย ส่วนเวลาขับรถผ่านรถที่จอดอยู่ข้างถนน จะต้องขับออกไปให้ห่างมาก ๆ หรือถ้ามีคนเดินอยู่ก็เหมือนกัน ห้ามขับรถเข้าไปใกล้เด็ดขาด ต้องขับรถออกไปห่าง ๆ ที่นี่เค้าจะห่วงชีวิต และทรัพย์สินของผู้คนมาก แต่ก็ดี ดูแล้วปลอดภัยดี แล้วก็ซ้อมขับรถไปส่งสามีที่สถานีจอดรถบัส ก็ออกจากบ้านไปประมาณ 3-4 กม. ได้ เช้าวันจันทร์ก็เลยเริ่มไปส่งสามีตอนเช้า แล้วเดี๋ยวตอนเย็นก็ต้องออกไปรับประมาณ 5 โมง


อ้อ ได้รับรูปลูกที่ส่งมาให้ดูแล้วหละ จ้ำม่ำมากเลย แต่ยังดูไม่ออกว่าหน้าเหมือนใคร แต่ขาวเหมือนพ่อนะเนี่ย

อ้อยใจ คาลกับมาชา ชอบซีดีงานแต่งมากเลย เค้าบอกว่าเก๋มาก และบอกว่าถ้ามาอยู่ที่นี่แล้วรับทำซีดีหยั่งงี้นะ รวยอื้อเลย

จิต วันหลังไปกินเลี้ยงกันก็ถ่ายรูปส่งมาให้ดูบ้างนะจะได้หายคิดถึง


รักและคิดถึง

ปู