ข่าวดีตอนนี้ได้กรีนการ์ดแล้ว เค้าส่งมาให้เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ได้พร้อมกับเอ๋เลย แต่เอ๋มาอยู่ปีนึงแ้ล้วเพิ่งได้ มีแต่คนบอกว่าของเราได้เร็วมากแค่ 2 เดือนกว่าเอง ชาวบ้านเค้ามาอยู่กันเป็นปีถึงได้ แถมเค้าไม่เรียกไปสัมภาษณ์ด้วย ปกติขั้นตอนสุดท้ายเค้าจะเรียกเรากับสามีไปสัมภาษณ์ แต่นี่ไม่ต้อง แปลกดี แต่ก็ดีแล้วหละเพราะได้กรีนการ์ดแล้วก็สบายใจละ ตอนแรกเค้าจะออกให้เราแค่ 2 ปีก่อน พอครบ 2 ปี เราต้องกลับไปพิมพ์ลายนิ้วมืออีกครั้งเพื่อสอบประวัติ ถ้าประวัติไม่ด่างพร้อยอะไรก็ต่ออีก 10 ปี พอครบ 10 ปีก็กลับไปพิมพ์ลายนิ้วมืออีกเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากน้นก็เป็นถาวรละ สามารถทำพาสปอร์ตของที่นี่ได้เลย ฤดูใบไม้ผลิที่นี่จะเริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม ถึง เดือน พฤษภาคม อากาศก็จะอยู่ประมาณ 20-25 องศา พอเริ่มเข้าหน้านี้ จะน่ากลัวมากเลย ในช่วงเดือนมีนาคม จะมีหนอนเต็มไปหมด เหมือนกับมันฟูมฟักกันมาตั้งแต่หน้าหนาว พออากาศเริ่มอุ่น มันก็เริ่มฟักตัวอ่อนออกมา ตามหลังคา ตามชานบ้านจะมีใยหนอนเต็มไปหมด เดินดีไม่ดีจะมีหนอนติดหัวมาด้วย แม้แต่ในบ้านยังมีหลงเข้ามาเลย แม้แต่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านมันก็มาชักใยทำรัง จนกลายเป็นบ้านมันไปทั้งตู้เลย โอ๊ยอยากจะกรี๊ดรับไม่ได้ แต่พออยู่ไปอยู่ไปเริ่มชิน จากที่เริ่มกรี๊ดก็จะแค่ปัด ๆ ออก แต่มันจะเป็นตัวหนอนอยู่แค่ประมาณ2-3 อาทิตย์ พอเข้าเดือนเมษายน ก็หายหมดละ คงจะกลายเป็นผีเสื้อกันไปหมด รูปที่เห็นด้านบนกับด้านล่าง ถ้ายจากห้องนอน แล้วก็จะเห็นต้น อทีเรีย ที่เอามาลงไว้ เราปลูกแบบหลวม ๆ เพราะมันจะแผ่แล้วก็โตไวมาก ก็เลยไม่จำเป็นต้องปลูกเยอะ ส่วนเจ้าสัตว์น้อยคือกระรอก จะมาวิ่งหาอาหารกินเต็มสนามหน้าบ้านหลังบ้านไปหมด บางทีก็ขึ้นไปวิ่งเสียงดังอยู่บนหลังคา ตอนเ้ช้ามาจะชอบมายืนดูตรงหน้าต่างห้องนอน ดูมันหาอาหารกัน บางทีมันก็มานั่งเล่นกันเหมือนมีงานสังสรรค์ ก็เพลินดี
รูปนี้ถ่ายจากห้อง ที่กอดอนตั้งชื่อว่าห้องเซ็นรูม เป็นห้องที่เราจะตกแต่งเป็นแบบไทย ๆ แต่พี่แกใช้สีห้องได้แบบแสบทรวงมาก สีแดง แต่พอใส่เฟอร์นิเจอร์ไทยเข้าไปก็ทำให้ห้องดูเด่นดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้ห้องยังไม่เสร็จ เหลือติดพวกรูปที่ซื้อมาจากเมืองไทย แ้ล้วก็พวกไม้แกะสลัก ที่จะเอาติดที่ผนัง ต้องเอาไปใส่กรอบ จะเป็นรูปพวกเรือสุพรรณหงส์ รูปบ้านเรือนไทย 6 รูป เอาไปใส่กรอบ ค่าใส่กรอบไม่อยากจะคิดเลยตกเป็นเงินไทยเกือบแสน แต่รูปที่ซื้อมายังไม่ถึงพันเลย ไว้ใส่กรอบติดข้างฝาเสร็จจะถ่ายรูปส่งมาให้ดูอีกทีว่างามสมราคาขนาดไหน
วันสงกรานต์ก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เพราะไปกับกอดอนแล้วก็เลีย ถ้าไปเองกับเพื่อนน่าจะสนุกกว่า งานเค้าเริ่มมีตอนเย็น เราก็ไปถึงประมาณ 5 โมง ก็มีออกร้านอาหารเต็มไปหมดเลย แต่ไม่สนุกเพราะว่าพ่อลูกเค้าเดินดูห่าง ๆ ไม่กิน ฝรั่งเค้าไม่ค่อยชอบกินของรถเข็นไม่รู้ทำไม ตอนมาเมืองไทยเหมือนกันเรียกว่าไม่เอาเลย เราก็เลยต้องแค่เดินดูไปด้วย แต่ถ้ากอดอนไปคนเดียวไม่เท่าไหร่ก็คงลากให้กินด้วยจนได้ หรือไม่ก็ซื้อกลับบ้าน แต่นี่ลูกเค้าไปด้วยก็เลยเอาวะแค่เดิน ๆ ดู เห็นแล้วก็เสียดายมีออกร้านอาหารไทย น่ากินทั้งนั้นเลย มีทุกอย่างที่อยากกินเลย มีก๊วยเตี๋ยวทุกชนิด ขนมจีน ข้าวแกง ขนมเพียบ ขนมครกก็มี ก็มีแต่ของกิน เพราะการแสดงบนเวทีเค้าเริ่มตอนค่ำ แต่ดูแล้วถ้าจะให้ลูกเค้ารอดูคงจะไม่ไหว เพราะดูเค้าเบื่อ ๆ อากาศก็หนาวมากด้วย ลมเย็นมากเลย เิดินวน ๆ อยู่ได้ประมาณ 40 นาที เราก็เลยบอกกอดอนกลับเถอะ ก็เลยไปแวะกินอาหารเย็นที่ Red Robster เจ้าเก่า แต่ก็ได้เข้าไปไหว้พระ สรงน้ำพระ บริจาคเงินขนกองทรายเข้าวัด ก็โอเคละ จะให้เหมือนเมืองไทยซะทีเดียวคงจะไม่ได้แต่โชคดีว่าตอนเช้าก่อนไปวัด ได้ไปชอปปิ้งกับบีแล้วก็อุ้ม (ลูกบี) ที่ร้านเอเซียมาเก็ต เราก็บุกเข้าไปในโรงครัวสั่งอาหารไทยกินกันในโรงครัวเลย กินกันพุงกางเพราะเค้าให้ตักเอง เค้าทำแกงเอาไว้เป็นหม้อใหญ่ ๆ เอาไว้ขาย เป็นคล้าย ๆ แกงคั่ว หรือแกงแดงเนี่ยแหละเรียกไม่ถูก ก็จะใส่พวกหน่อไม้ ไก่ ถั่วงอก ใบโหระพา อุ้มก็ตักมาชามเบ้อเริ่มเลย แล้วก็เอาขนมจีนใส่ โห อร่อยบอกไม่ถูก แล้วก็สั่งลาบ น้ำตก รสชาติไม่ค่อยแซ่บสะใจเท่าไหร่ พออิ่มหมีพลีมันแล้วก็ชอบปิ้งของแห้งในร้านเค้าต่อ ได้พวงมาลัยปลอมสำหรับบูชาหิ้งพระพวงน้อยมาด้วย สีเหลืองขาวน่ารักเชียว ต้องซื้ออันเล็กเพราะว่าหิ้งพระเราเล็กพูดถึงเรื่องของกินขอพูดต่ออีกนิด วันก่อนไปกินอาหารร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อ Olive Garden ร้านนนี้เก๋มากเลย เวลาที่โต๊ะเต็มเค้าจะให้บัตรคิวมา ลักษณะเป็นไม้กลม ๆ พอถึงคิวเราเค้าก็จะไม่ตะโกนเรียก แต่เค้าจะส่งสัญญาณมาที่ไอ้บัตรคิวไม้ไฮเทคเรา โดยมันจะมีเสียงแล้วก็มีแสงสีแดง บ่งบอกว่าถึงคิวเอ็งแล้ว โอ๊ยเก๋ไก๋ประทับใจมาก
เมื่อวันก่อนมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกแล้ว เนื่องจากว่าจะต้องไปพบติวเตอร์ที่คอลเลจ นัดเค้าเอาไว้วันศุกร์ บ่าย 2 โมง วันนั้นฝนตกทั้งวัดเลย ก็ขับรถไปตามปกติ ก็ขับ ๆ ไปอยู่ในเลนซ้ายก็ดันไปติดรถยูเทิร์น ก็เลยเปลี่ยนเลนส์ก็ได้ยินเสียงบางอย่างเบา ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หลังจากนั้นแค่ 2-3 วินาที ก็บังคับรถไม่ได้ มันปัดไปทางซ้ายที ขวาที ก็เลยตกใจเหยียบเบรครถก็ยิ่งปัด ก็เลยตัดสินใจพุ่งชนฟุตบาธข้างทาง เพราะไม่รู้ว่าจะบังคับรถให้หยุดได้ยังไง พอรถชนเข้ากับฟุตบาธมันก็เลยหยุด แต่ดันหยุดแบบขวางถนนเลย ขวางรถชาวบ้านไม่มีใครไปได้เลย ทุกคนก็หยุดรออย่างมีมารยาท ส่วนเราก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตก ทำอะไรไม่ถูกอยู่ในรถ เข้าเกียร์ถอยหลังมันก็ไม่ไป โชคดีว่ามีร้านซ่อมรถอยู่ใกล้ ๆ เค้าก็วิ่งกันออกมา 5 คนมาช่วยโบกรถ แล้วก็เข็นรถเราเข้าจอดข้างทาง แล้วเค้าก็บอกให้ลงมา เดี๋ยวเค้าจะขับเข้าอู่ให้เอง แล้วก็ให้เราไปนั่งรอในห้องรับรอง เพราะฝนก็ตก พอเราลงจากรถได้เราก็อธิบายเค้าใหญ่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าก็ชี้ให้ดูว่าไม่มีอะไรหรอกแค่ยางหลังแตก ไปนั่งรอในห้องเถอะ พอถามว่ารถจะเสร็จเมื่อไหร่ เค้าก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ก็โทรไปหากอดอนที่บ้าน กอดอนก็ตกใจใหญ่ ก็เลยให้เค้าคุยกับช่างว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็อู่อยู่ที่ไหน แต่กอดอนก็มาหาไม่ได้เหมือนกันเพราะว่ารถอีกคันเอาไปเข้าศูนย์อยู่ แต่โชคดีว่าแค่สิบนาทีเอง เค้ามาบอกว่าเสร็จแล้ว แถมไม่เก็บตังค์ด้วยนะ เค้าก็ยิ้ม ๆ แล้วก็บอกว่าฟรี เลยขอบคุณเค้าใหญ่เลย มีแต่คนบอกว่าเป็นไปได้ยังไงเนี่ยฟรี เพราะที่นี่อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด โดยเฉพาะค่าแรง สงสัยเค้าคงจะเห็นเราเป็นต่างชาติหน้าตาตื่น ๆ โง่ ๆ ก็เลยสงสาร พอซ่อมเสร็จก็ไปหาติวเตอร์ที่คอลเลจต่อ แต่ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เลย ค่อย ๆ ขับรถไปแบบช้า ๆ เพราะรู้สึกยังผวาอยู่ เกิดมาไม่เคยเจอสถานการณ์ยางแตก ปรกติเวลาขับที่เมืองไทยเป็นรถเก๋ง เวลายางแบนมันก็ยังทรงตัวอยู่ แต่นี่เป็นเพราะกะบะรึเปล่า มันเลยบิดซ้าย บิดขวา กอดอนบอกว่าวันหลังถ้าเจอสถานการณ์อย่างนี้ ห้ามเหยียบเบรคให้ประคองพวงมาลัยไว้จนกว่ารถมันจะหยุด ใครจะไปทันคิดเนอะ มันตกใจหนะ รถมันสูงด้วย แต่ก็ยังดีที่ไม่ไปชนใครเค้าเข้า ไม่งั้นละซวยเลย