Saturday, January 10, 2009

Christmas 2008 ; Calgary, Canada

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม เราก็ขมักเขมันกับการเตรียมตัวเดินทางวันรุ่งขึ้น เช็คเสื้อผ้า กระเป๋า แต่จะว่าไปจริง ๆ จัดกระเป๋าล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์ แล้วหละ ไม่รู้เป็นโรคอะไรจะชอบจัดกระเป๋าเดินทางก่อนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าเห่อรึเปล่า ส่วนกอดอร์น ไม่เคยจัดกระเป๋าล่วงหน้าเลย ไปวันไหนจัดวันนั้น ไปตอนสายจัดตอนเช้า ไปตอนบ่ายจัดตอนเที่ยง ถ้าไปตอนเย็นก็จัดตอนบ่าย จะบ้าตาย

วันอาทิตย์ที่ 21 ธ.ค. ก็เริ่มออกจากบ้านบ่าย 3.30 น. ขับรถไป แล้วไปจอดทิ้งไว้ที่แอร์พอร์ตเลย ผู้ร่วมเดินทางก็มี Leah อีกหนึ่งคน สรุปไปกันสามคน ไปถึงสนามบิน เช็คอินอย่างราบรื่น เซเคียวริตี้ ก็ราบรื่น แถวสั้น ๆ แต่พอมาถึง Gate ก็ได้มารับทราบว่าเครื่องดีเลย์ อีกแล้วครับท่าน เนื่องจากเครื่องบินที่บินมาจากคานาดาเจอฝนหิมะอย่างหนัก ทำให้เครื่องเสียเวลา เลยดีเลย์ไป 2 ชม. โอ๊ยจะเป็นลม ปัญหาไม่ใช่อะไรหรอก มันดึกเท่านั้นเอง จากเดิมเราจะต้องไปถึง Calgary , Canada สี่ทุ่ม เลยกลายเป็นจะต้องไปถึง เที่ยงคืน

อากาศที่ ฮิวส์ตันบ้านเราวันเดินทางจะหนาวไม่จัดแค่ประมาณ 1-10 องศา แต่พอไปถึง Calgary โอ้พระเจ้า ติดลบ - 37 องศา มองจากเครื่องบินลงไปเมืองปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะทั้งเมือง น้ำในแม่น้ำก็มีแต่น้ำแข็ง จะรอดมั้ยเนี่ยเรา
ทริปนี้ถ่ายรูปมาเยอะมาก แต่เลือก ๆ มาให้ดูแค่ส่วนนึง รูปส่วนใหญ่ ก็จะเป็นสีขาว จากหิมะ ไม่ใช่จากสีทาบ้านนะจ้ะ อย่าเข้าใจผิด แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยมัน เพราะดูจะตื่นเต้นอยู่คนเดียว ส่วนคนอื่นเค้าเห็นกันมาตั้งแต่เกิด เลยออกจะบ้าอยู่คนเดียว เลยไม่ค่อยกล้าถ่ายรูปมาก แต่ขนาดไม่ค่อยกล้าก็ได้รูปมาเกือบ 200 รูป แฮ่ ๆ

(อย่าลืมคลิกที่รูปเพื่อขยายรูปใหญ่ดูนะ จะได้เห็นชัดขึ้น)


ไปถึงปั๊บก็ตรงดิ่งไปเอาเราที่ติดต่อเช่าไว้ที่สนามบิน ก็เกิดปัญหาอีกเรื่อง คือเราจองล่วงหน้าไว้นานมากตั้งแต่ต้นปี คือรถแวน 6 ที่นั่ง แต่บริษัทรถดันบอกว่ารถไม่มี มีแต่รถเก๋ง กับจิ๊บ คุณพี่กอร์ดอนโกรธหน้าเขียว หน้าเหลือง หน้าแดง เพราะว่าเราจะมีผู้โดยสารเพิ่มอีก 3 คน เพราะฉะนั้นรถยนต์นั่งไม่ได้แน่ และที่สำคัญกระเป๋าโดยสารอีกเพียบและยังมีกระเป๋าใส่สกีอีก ซึ่งสูงกว่าตัวเราอีก แต่ก็ต้องจำยอมเอารถมาก่อน เพราะไม่รู้จะทำยังไง เพราะเจ้าหน้าที่ไม่รับผิดขอบเลย และก็เที่ยงคืนกว่าแล้วด้วย และต้องไปรับ Kelsey ลูกสาวอีกคนที่หอที่มหาลัย เพื่อมานอนด้วยกันที่โรงแรม ตอนออกไปเอารถที่จอดรถ ถึงได้เริ่มสัมผัสอากาศอันหนาวเย็น -37 องศา หนาวจริง ๆ สรุปคืนแรกได้นอนปาเข้าไปตอนตี 2 ดันตื่นมาตอนตี 4 แล้วนอนต่อไม่หลับละ วันรุ่งขึ้นเลยเพลียมาก ๆ และแถวเราเพิ่งกลับมาจากเมืองไทยแค่ 2 อาทิตย์ เลยเพลียซ้ำเพลียซ้อน ส่วนเรื่องรถในที่สุดกอร์ดอนก็โวยวายไปยังสำนักงานใหญ่ ที่อเมริกาเลยตั้งแต่ตอนกลางคืน กว่าจะได้หลับได้นอน ในที่สุดก็ได้รถแวนมาจนได้ในตอนเช้า


วันรุ่งขึ้น วันจันทร์ 22 ธ.ค. เราก็ัขับรถไปวน ๆ ดูในเมือง ไปธนาคารเพื่อกดเงินด้วย หิมะเกลื่อนกลาดแถมปรอย ๆ อยู่ตลอดเวลา ลืมถ่ายรูปรถไฟราง มาให้ดู เค้าเรียกหยั่งงี้รึเปล่าเนี่ย คือในเมืองเค้าจะมีรถไฟวิ่งบนดินเยอะมาก เหมือนรถไฟฟ้าเราแต่ของเราอยู่ใต้ดินกับลอยฟ้า แต่ของเค้าอยู่บนดินเลย


แต่เนื่องจากเราใส่เสื้อหลายชั้นมาก ให้ข้างในอุ่น ๆ ที่สำคัญลองจอนขาดไม่ได้เลย กางเกงก็ห้ามใส่ชั้นเดียวเด็ดขาดเอาไม่อยู่ เราใส่ลองจอนก่อนชั้นใน บางทีก็ใส่กางเกางผ้ายืดหนา ๆ อีกชั้นแล้วถึงตามด้วยกางเกางยีนส์ ตัวนอกอีกตัว ส่วนรองเท้าก็ต้องเป็นรองเท้าบู้ทอย่างเดียวเท่านัั้้น ให้ดีก็ควรเป็นรองเท้าสำหรับเดินหิมะไม่งั้นจะทำให้ลื่นได้ หมวกกับถุงมือ ผ้าพันคอ ห้ามขาดเด็ดขาด

รูปนี้ถ่ายจากบนห้องบนโรงแรม โรงแรมที่พักขาประจำ Marriot


พอตอน 10.00 น. ก็จะมีน้องสาวและสามีของกอร์ดอน มาสมทบ ก็คือ Chamain และ Mark พอเจอกันถ้วนหน้า เราก็จะขับรถจาก Calgary เพื่อไปต่อที่อุทยานแห่งชาติแบนฟ์ Banff ืNatural Park เป็นหุบเขา และเป็นแหล่งเล่นสกี เราก็ขับรถไปไม่ไกลแค่ ประมาณ ชั่วโมงกว่า ๆ ระยะยางมันประมาณ 130 กม.


รูปนี้เป็นรูปถ่ายด้านหน้าของโรงแรมที่เราไปพักที่ Banff โอ้พระเจ้า สวยมาก ๆ อยู่บนหุบเขา ล้อมรอบด้วยภูเขา และ หิมะตกหนาไปหมด โรงแรมชื่อ Fairmong Banff Spring ถ้าใครจำทริปวิสเลอร์ได้ อันนี้จะเป็นโรงแรมในเครือเดียวกัน โรงแรมจะทำเป็นแบบปราสาท โรงนี้สร้างมา 100 กว่าปีแล้ว ถือว่าเก่าแก่มาก เป็นโรงแรมที่หรูที่สุดที่นี่เลย ค่าห้องก็ไม่ต้องพูดถึง ราคาถูกสุดอยู่ที่ห้องละประมาณ $600 เหรียญ หรือ ประมาณ 2 หมื่นบาทต่อห้องต่อคืน

รูปนี้เป็นรูปถ่ายด้านข้างของโรงแรม ที่เห็นจะเป็นบริเวณโรงแรมทั้งหมด เวลาเราขับรถเข้ามาจากถนนด้านซ้ายในรูป จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยอยู่และถามชื่อเราที่เ้ข้าพัก พอเราขับรถไปถึงหน้าโรงแรม ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาขับรถไปจอดให้ และเอามาให้ทุกครั้ง เพราะมันหนาวมากเค้าไม่ต้องการให้เราไปจอดเอง พอเข้าไปถึงลอบบี้เจ้าหน้าที่ก็จะออกมาต้อนรับเราเลยโดยไม่ต้องเดินเข้าไปเคาน์เตอร์เ็ช็คอิน คือเค้าจะวอลล์บอกกันไว้หมด ทำให้น่าประทับใจมาก และจะมีฮ็อทช็อคโกแล็ต ไว้คอยต้อนรับ บริการดีมาก ๆ



ตัวเราค่อนข้างจะตื่นกับโรงแรมมากเพราะมันหรูหราและเหมือนปราสาทยังไงยังงั้น แต่คนอื่น ๆ เค้าปกติเพราะเค้ามากันประจำ และโรงแรมนี้จะเป็นโรงแรมที่ตระกูลของกอร์ดอนเค้าจะมาฉลองคริสต์มาสกันตลอด ตั้งแต่สมัยเค้ายังเป็นเด็ก ส่วนตัวกอดอร์น ก็จะพาลูก ๆ มาฉลองคริสต์มาสที่นี่ตลอดตั้งแต่ลูก ๆ ยังเด็ก ไม่ได้มาทุกปีแต่จะประมาณ 2-3 ปี มาครั้งนึง

รูปด้านบนก็จะเป็นร้านค้าพวกสกีชอปของโรงแรม จะอยู่อีกด้านนึงของวงเวียนแต่เราสามารถเดินจากด้านในโรงแรมไปที่ร้านได้ แต่เดินดีไม่ดีก็หลง เพราะทางเดินมันคดเคี้ยววกวน ห้องหับเยอะมาก

พอไปถึงห้องพัก ก็น่าประทับใจมาก มีไวน์ไว้บริการ เป็นไวน์แดง เป็นตราของโรงแรมเลย รสชาติดีมาก และมีคุกกี้ในกล่องกลม ๆ และผลไม้ถาดใหญ่ ๆ อีกถาด สารพัดผลไม้ เผอิญไม่ได้ถ่ายรูป เพราะมาถึงก็กินกันกระจาย ไม่เหลือซาก
รู้สึกว่าจะเหนื่อยล้าอ่อนแรงจากการเดินทาง และแถมได้นอนแค่ 2 ชม. เมื่อคืน เลยทำให้โทรงจนบอกไม่ถูก ตกตอนเย็นเราก็ไปรับประทานอาหารเย็นกัน รูปด้านบนคือ Mark + Charmain

ส่วนด้านล่าง ก็หนุ่มหล่อสาวสวย พ่อลูก ส่วนสาวเราก็เป็นตากล้อง ส่วนรูปตัวเองดันไปอยู่ในกล้อง Chrmain เมื่อไหร่จะส่งมาให้ก็ไม่รู้







เช้า วันอังคาร 23 ธ.ค. เราก็ตื่นกันแต่เช้า พอกินอาหารเช้าเสร็จเราก็ชวนกอดอนไปทัวร์โรงแรม เพราะที่นี่เค้ามีจัดทัวร์ประสาท หรือโรงแรมนั่นเอง เพราะมันกว้างมาก ถึงขนาดมีการจัดทัวร์คิดดูละกัน ส่วนเราก็ให้กอร์ดอนนั่นแหละเป็นไกด์ เพราะเค้ารู้ทุกซอกทุกมุม แต่ถ้าให้เดินคนเดียวก็ไม่เอานะ เพราะหลงแน่ ๆ ทางมันคดเคี้ยว แต่ตลอดทางที่เดินในโรงแรมจะมองเห็นวิวของภูเขาล้อมรอบตลอด แต่ขอโทษเดินอยู่แต่ในโรงแรม ไม่มีใครยอมออกไปข้างนอกเลยเพราะหนาวมาก รูปนี้ก็วิ่งออกไปจากโรงแรมออกไปถ่าย เลยไม่ได้ใส่เสื้อโค้ทกัน รีบวิ่งออกไป แล้วก็รีบวิ่งเข้ามา ในโรงแรม












ซาสตรครอส น่ากอดมาก ๆ
















พอตกตอนสายเราก็ขับรถไปใจกลางเมืองของ Banff จริง ๆ ถ้าไม่หนาวจัดจากโรงแรมเราเดินลงมาก็ได้ น่าจะประมาณ 2 กม. เท่านั้นเอง ก็เห็นแหล่งเดินเล่นซื้อของ วันนี้อากาศอุ่นขึ้นมาหน่อย รู้สึกจะประมาณ ติดลบแค่ -20 กว่าองศา









เดินแป๊บนึงก็มาแวะดื่มชากาแฟกันที่

Star buck ขาประจำ นั่งคุยกันซักพักก็ไปเดินช็อปปิ้งกันต่อ แต่ความทรมานคือร้านมันจะเป็นร้านค้าย่อย ต้องเดินเข้าเดินออก เดินเข้าเดินออกร้าน แต่ส่วนใหญ่จะพยายามอยู่ในร้านจะได้อุ่น





ตกเย็นกลับมาโรงแรมก็ไปว่ายน้ำกัน ฮ้า อะไรนะไปว่ายน้ำ เราร้องเสียงดัง หนาวยะเยือกหยั่งงี้เนี่ยนะไปว่ายน้ำ ไปเหอะขอบาย เลยขอไปเป็นตากล้องอย่างเดียวละกัน จากในรูปเป็นสระว่ายน้ำอยู่นอกอาคาร แต่ประตูลงว่ายน้ำต้องออกจากสระด้านใน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ว่ายน้ำเราจะออกไปด้านนอกสระนี้ไม่ได้เลย แต่เผอิญเราแอบออกไปตรงประตูฉุกเฉิน คอยให้ Charmain เปิดประตูรอไว้ เพราะไม่งั้นเราจะเ้ข้าไม่ได้ ประตูมันเปิดออกแต่เปิดเข้าไม่ได้ สระว่ายน้ำจะเป็น Hot Spring น้ำจะอุ่น เค้าถึงได้ว่ายกันได้ แ่ห้ามโผล่ตัวขึ้นมาเหนือน้ำเชียว น่าจะหนาวน่าดู
















รูปนี้ถ่ายด้านข้างโรงแรมตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกบนยอดเขา ของจริง สวยมาก ๆ เลย














รูปนี้ก็เป็นด้านข้างโรงแรม ลานขาว ๆ ที่เห็นเค้าจะเล่นสก็ตกัน














ถ่ายกับต้นคริสต์มาสซักกะหน่อย







วันพุธ ที่ 24 ธ.ค. วันนี้เราก็สิงสถิตย์อยู่ในโรงแรมกันช่วงเช้า คือให้เด็ก ๆ คือเด็กโข่ง Kelsey + Leah มาเข้าคอร์สเรียนทำคุกกี้ของโรงแรม ตอนเช้าเราก็มาส่ง ที่ห้องสัมมนา รูปนี้ถ่ายที่หน้าห้องเรียนทำคุกกี้ ไม่อยากบอกเลยว่า นักเรียกส่วนใหญ่ที่มาเรียน อายุแค่ 5-10 ขวบ คือพ่อแม่ให้มาทำกิจกรรมทำคุกกี้สนุก ๆ แต่เด็กของเราเนี่ยสิ ปาเข้าไป 17 กับ 19 แก่สุดเลย





รูปนี้ถ่ายในห้องน้ำ แม้แต่ห้องน้ำยังมีมุมให้นั่งดูหุบเขากับหิมะ สุดยอดจริง ๆ










เวลาผ่านไปซักพักเราก็เข้าไปแจม ห้องเรียนทำคุกกี้ เค้าก็ไม่ว่านะ ให้ผู้ปกครองเข้าไปร่วมได้ ไม่เก็บเงินเพิ่ม เด็ก ๆ ก็สนุกสนานกันใหญ่ เค้าให้เรียนแบบไม่ซีเรียส มีของกินให้กิน มี วีดีโอการ์ตูนให้ดู ใครเบื่อก็ไปดูการ์ตูน เพระานักเรียนเด็ก มาก ๆ เลยต้องมีอะไรมาหลอกล่อ โอ๊ยเด็ก ๆ สนุกสนานกันมาก จำนวนเด็กน่าจะประมาณ 50 คนเห็นจะได้ ร่วมผู้ปกครองที่มานั่งด้วยอีก ก็สรุปร้อยกว่าคน





ตอนนี้เป็นขั้นตอนตกแต่งคุกกี้











ขอลองด้วยคน ชิ้นแรกมือสั่นเล็กน้อย











หลังจากช่วยกันขมักเขม้น ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เห็นอันที่เราทำรึเปล่า เราทำหลายอันอยู่ แต่มีอันนึงถ้าเพื่อน ๆ เห็นจะรู้เลยว่าของยัยปูแน่ รู้มั้ยเอ่ยอันไหน




หลังจากเรียนทำคุกกี้เสร็จ เราก็กินอาหารเที่ยงด้วยกัน ส่วน Charmain + Mark ต้องเดินทางไปที่เมืองอื่น ก็เลยแยกกัน ส่วนกิจกรรมช่วงบ่าย กอร์ดอน ก็ซื้อ คอร์ส สปาเล็บ ให้กับ Kelsey + Leah และเรา ส่วนเราขอบาย เพราะขึ้เกียวเข้าไปทำเล็บกับเด็ก ๆ ตั้ง 2 ชม. เราเลยให้กอร์ดอนพาขับรถไปเที่ยวดีกว่า

เราก็เลยขับรถอ้อมไปด้านหลังโรงแรม จะเป็นสนามกอล์ฟที่มองแทบไม่ออกแล้วว่าเป็นสนามกอล์ฟเพราะมีแต่หิมะ แต่ขับไปอีกจะเป็นน้ำตก แต่เวรกรรมทางปิด เข้าไม่ได้ แถมพอกลับขับออกมาจะข้ามสะพาน ดันถูกปิดไม่ให้ออกอีกต่างหาก เวรกรรม เค้าล็อกเอาไว้อย่างดีออกมาไม่ได้เลย ดีว่ามีเบอร์โทรตำรวจอยู่ กอร์ดอนเลยต้องโทรไปบอกตำรวจว่าเราติดอยู่ในนี้ออกไม่ได้ ระหว่างรอตำรวจเราเลยออกมาถ่ายรูปแก้เซ็ง ถ่ายจากบนสะพานลงไป น้ำเป็นน้ำแข็งเกือบจะหมด ตกลงไปละไม่รอดแน่ ๆ เลย แข็งตาย

ของจริงวิวสวยมาก ๆ เกินบรรรรรยาย ถ้าคลิกดูรูปใหญ่จะมองเห็นคนอยู่ 2-3 คนบนเนินเขาด้านหลังเล่นสก็ตบอร์ดกันอยู่



พอตำรวจมาเปิดประตูให้เราก็ขับรถมาจอดและออกมาเดินถ่ายรูป




















รูปนี้พยายามเรียกกอร์ดอนให้ออกมาข้างนอก พี่แกกลัวหนาวเพราะบ้านไม้เล็ก ๆ นี้เค้ามี เครื่องทำความร้อน กอร์นดอนเลยสิงสถิตย์อยู่ในนี้ไม่ยอมออกมาเดินข้างนอก ไอ้ตัวเรามันก็หนาวนะ แต่ตื่นเต้นกับหิมะมากกว่า เลยไม่ค่อยสนใจกับความหนาวเท่าไหร่





หิมะถ้าตกใหม่ ๆ จะเป็นปุยฝ้ายนุ่มมาก แต่ถ้าตกทับถามกันนาน ๆ มันจะอัดตัวกันแข็งมาก และดูเป็นประกายเหมือนกริด เวลาขับรถบนหิมะต้องระวังมาก ๆ เพราะมันลื่น โดยเฉพระเวลาเลี้ยว น่ากลัว เวลามีหิมะเค้าจะขับกันช้า ๆ และต้องขับด้วยความระวังอย่างสูง เวลาที่หิมะเพิ่มตกจะไม่น่าขับรถเพราะอันตราย แต่ถ้ามันตกทับถมกันหลายวันจนแข็งแล้วจะอันตรายน้อยกว่า แต่คามถนนหนทาง เค้าจะมีรถมาคอยกวาดเอาหิมะออกอยู่เรื่อย ๆ ไม่งั้นขับรถไม่ได้เลย


ด้านหลังเป็นโรงแรมที่เราพัก จากมุมนี้สวยมาก ๆ เลย ที่เรายืนอยู่ดูเหมือนใกล้ โรงแรมนะ แต่ถ้าให้เดินเท้ามา อากาศหนาว ๆ แบบนี้ สงสัยจะแย่เหมือนกัน





สังเกตุจะมีรอยเท้า รอบเลื่อน เพียบไปหมดบนหิมะ










พอเสร็จแล้วก็ขับรถมาเดินเล่นในเมืองต่อ น้ำแข็งแกะสลัก อยู่ได้สบาย ๆ ช่วงหน้าหนาว ไม่ละลายแน่นอน











เค้าแกะน้ำแข็งไว้สวยมาก










รูปนี้ก็แหล่งเดินเล่น ชอปปิ้ง เมืองเค้าไม่ใหญ่หรอกเล็ก ๆ มีแต่ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารเพียบ คนส่วนใหญ่จะมาที่นี่เพื่อทำกิจกรรม พวก เล่นสกี เสก็ต หรือกิจกรรมเกี่ยวกับหิมะทั้งหมด ใครมาที่นี่แล้วไม่เล่นสกี เชยมาก สงสัยจะมีเราคนเดียวนี่แหละที่เชย






ขอถ่ายรูปกับเพื่อนซะหน่อย








เดินชอปปิ้งเสร็จเราก็ขับรถวนขึ้นไปบนเขา รูปนี้เป็นอีกมุมมองนึงของโรงแรมที่เราพักที่ถ่ายจากบนเขา


ขับไปเรื่อย ๆ กอร์ดอนตาดีมากเลยเห็นหมาป่า นั่งอยู่บนเขา เราเลยค่อย ๆ จอดรถ เปิดหน้าต่างแ้ล้วพยายามซูมกล้องพยายามนุ่มนวลที่สุด ไม่ให้ตื่นหนีไปก่อน หน้าตาคุณหมาป่าดูเศร้า ๆ ยังไงก็ไม่รู้ น่ารักน่ากอดมาก ลองคลิกดูรูปใหญ่นะ ที่คานาดานี่ดีอย่างคน กับ สัตว์ป่าใช้ชีวิตอยู่กลมกลืมกัน ไปส่วนไหนของคานาดาก็จะเจอสัตว์ป่าตลอด
เช้าวัน พฤหัส ที่ 25 ธ.ค. วันคริสต์มาสต์ เราก็ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อแกะของขวัญวันคริสต์มาสกัน ตามประเพณีจะเปิดของขวัญกันเช้าวันที่ 25 และ พ่อแม่จะเอาถึงเท้าที่ใส่ของขวัญ ที่เค้าจะแขวนในวันคริสต์มาส แอบเอาของขวัญใส่ลงไป และไปแอบวางไว้ที่ปลายเตียงให้เด็ก ๆ จะเป็นของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ที่พอใส่ลงในถุงเท้าได้ แต่ถุงเท้าก็มีขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนของขวัญชิ้นใหญ่ ๆ เราก็เอาไปวางไว้ที่ใต้ต้นคริสต์มานต์ ซึ่งทางโรงแรมจัดเตรียมเอาไว้ให้ในห้อง พอแกะของขวัญกันเสร็จ ก็เตรียมตัวไปเล่นสกีกัน ต้องไปเช่าอุปกรณ์สกีให้เลีย ส่วนของเคลซี มีเป็นของตัวเองแล้วทุกชิ้นเลยไม่ต้องเช่า ก็ขับรถจาก Banff ไป Lake Louise ประมาณ 45 นาที

ระหว่างทางที่ขับข้างทางก็จะเป็นเทืองเขา ร็อคกี้ ที่มีชื่อเสียงคงไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นเทืองเขาที่ยาวมาก ตั้งแต่อเมิรกา มายันถึงคานาดา เป็นเทืองเขาที่สวยมากเพื่อมาเห็นของจริงก็ครั้งนี้แหละ เคยอ่านแต่ในหนังสือ

พอขับรถมาถึง มองขึ้นไปจะเป็นภูเขาที่เค้าเล่นสกีลงมากัน





ก็เตรียมอุปกรณ์สกีกัน แต่ละชิ้นหนัก ๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะรองเท้า อันหนักอุ้ง จะเป็นรองเท้าเฉพาะของมัน หนักมาก ใส่แล้วมันจะล็อคกับตัวสกี ส่วนสกีก็ไม่ใช่เบา ๆ หนัก จริง ๆ ความยาวของสกี จะขึ้นอยู่กับความสูงของเรา




ออกไปเล่นสกีกันได้ ยกแรก 2 ชม. ก็กลับเข้ามาด้วยความหนาวสั่น และ หิวโซ










อุปกรณ์สกี ค่อนข้างแพง ต้องใช้เงินพอสมควร ตัวสกี ราคาอย่างต่ำ แบบเซลล์แล้วจะอยู่ที่ $500 เหรียญ ชุดสกี ต้องเป็นชุดเฉพาะของมุน ถ้าเป็นผู้ใหญ่อย่างเราๆ ชุดนึตกเกือบ $1000 เหรียญ รองเท้าสกีอีก 1 คู่ ราคา ก็ไม่ต่ำกว่า $500 แต่ถ้าเราตัวเล็ก ๆ คิดว่าไปซื้อของเด็กโตก็ได้ ลองไปเดินดูราคาแล้วจะถูกกว่ากันครึ่ง ๆ เลย ส่วนสกีถ้าเราไม่ซื้อก็จะมีให้เช่าซึ่งราคาก็ไม่แพง ถ้าจำไม่ผิดก็แค่ประมาณ $50





ส่วนเราก็ได้แต่นั่งดูเค้าเล่นในตัวอาคารเพราะเล่นไม่เป็นจะไปกับเค้าก็ไม่ได้ เพราะเค้าจะขึ้นรถกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาแล้วสกีลงมาจากยอดเขา ถ้าเราไปด้วยจะลงมากับเค้ายังไงเนี่ย สงสัยต้องกลิ้งลงมา ไอ้ภาพเขา ด้านหลังที่เค้าเล่นสกีลงมา ของจริง จะชันกว่านี้มาก ดูแล้วหน่าสนุกและหวาดเสียว ก็นั่งดูเค้าไถลเถลือกกันลงมากูน่าสนุกดี เด็กเล็ก ๆ ก็เยอะ เล่นกันเ่ก่ง ๆ บางคนก็กลิ้งล้มกลางทางบนเขา มีเด็กคนนึงสงสัยเพิ่งหัด อายุแค่ประมาณ 5 ขวบเองก็สกีลงจากเขามา ขาถ่างมาตลอดทาง เรานะเสียวมากเลย แต่สรุปก็ลงมาจนถึงจนได้ มันจะมีลานให้คนหัดใหม่หัดด้วยอยู่ด้านขวามือมันจะโสลบไม่มาก นี่ถ้ามีเพื่อน มาด้วย จะลองไปหัดดู แต่นี่ต้องไปคนเดียวคงไม่ไหว ส่วนพ่อลูกหายเข้ากลีบเมฆ ตั้งแต่มาถึง ก็เล่นกันอยู่จนเย็น ส่วนเราก็นั่งรอจนเง่กเลย

พอเล่นสกีเสร็จเราก็จะไปกินดินเนอร์กันที่โรงแรม ใกล้ ๆ ที่เล่นสกี เป็นโรงแรมสาขาเดียวกับที่เราพักคือ Fairmont Chateau Lake Louse บรรยากาศรอบ ๆ โรงแรมสวยมากเหมือนกัน รูปนี้เป็นด้านหลังโรงแรม หบเขาเค้าสุดยอมจริง ๆ ตอนที่เราไปถ่ายรูปค่อนข้างจะสลัวละ
รูปนี้ถ่ายระหว่างทางเดินที่จอดรถไปหน้าโรงแรม หิมะหนามาก แต่สวยดี















ต้องเดินลุยหิมะออกมา





ก่อนทานดินเนอร์ ทุกคนก็ไปแช่น้ำแร่กันก่อน ส่วนเราขึ้เกียจมานั่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่อีก ก็เลย ขอบาย เสร็จแล้วก็แต่งองค์ทรงเครื่องเตรียมไปทานดินเนอร์


ดินเนอร์ที่ห้องบอลลูมจะเริ่มตอน 1 ทุ่ม เราก็ไปก่อนเวลาประมาณ 5 นาทีก็เลยเดินถ่ายรูปกับคนสำคัญ ๆ ของคานาดา
















พ่อหนุ่มหนวดเข้มคนนี้คนคนแรกที่มาค้นพบ Lake Louise








ถ่ายรูปลายบุฟเฟ่ต์ซะหน่อย อาหารก็เพียบน่ากินทั้งนั้น แถมมีป๊อเปี๊ยะทอดด้วยนะ Kelsey ชอบมาก แต่ที่นี่เค้าจะเรียกว่า Egg roll











สามสาวสามสไตล์ แต่วัยเดียวกัน ฮี่ ฮี่
พอกินดินเนอร์ ฉลองคริสต์มาสต์เสร็จก็ขับรถกลับโรงแรมที่ Banff







เช้าวันศุกร์ ที่ 26 ธ.ค. ก็ขับรถกลับ Calgary รูปด้านล่างเป็นรูปสุดท้ายที่ถ่ายที่ Banff ทุกคนเศร้าสลดมากที่ต้องจาก Banff

มาถึง Calgary เราก็ขับรถไปส่ง Kelsey + Leah ที่หอพักที่มหาลัย แม่เค้าจะมารับช่วงต่อ

พอส่งเด็ก ๆ เสร็จเราก็มีเวลาเหลือช่วงบ่ายหลังจากเ็ช็คอินโรงแรม เราก็ขับรถขึ้นไปบนเขา จุดชมวิว ถ่ายรูปจากบนเขาลงมารูป ที่เห็นด้านบนจะเป็น สนามกีฬาฮอกกี้ คนที่นี่เค้าจะคลั่งฮอกกี้กันมาก ไปที่ไหนก็จะเห็นคนเปิดทีวีดูฮ็อกกี้












ตรงจุดชมวิวบนเขา หิมะหนามาก ต้องเดินระวัง ให้ตรงทางเดิน ไม่งั้นเหยียบลงหิมะลึก ๆ ที่เป็นหลุมละซวยเลย














เช้าวันเสาร์ที่ 27 ธ.ค. เราก็ขับรถตระเวณเที่ยวในเมือง แล้วก็แวะไปเที่ยว Fort Calgary

Fort หมายถึงเป็นป้อมปราการที่ทหารอยู่ในสมัยเข้ามาบุกเบิกเมือง โดยจะมีทหารเข้ามาสร้างเป็นค่ายทหารเป็นป้อมปราการ และค่อย ๆ มีการสร้างเมืองรอบนอก มีคนเข้ามาอยู่


ที่ Fort Calgary เค้าก็จะให้เราเห็นบรรยากาศของช่วงบุกเบิกของทหารสมัยแรก ๆ มีห้องหนังสือ ห้องพักทหาร ห้องจำคุกนักโทษ ชุดที่เห็นจะเป็นชุดทหารของเค้า สีแดงสดดีจริง ๆ อันนี้จะขาดเข็มขัดคาด เลยดูแปลก ๆ ไปหน่อย


















แล้วเค้าก็พูดถึงช่วงยุคที่มีการขนส่งโดยรถไฟ มีการจำลอง หัวรถจักร







อันนี้เป็นห้องจำหน่ายตั๋วรถไฟ ขนาดเล็กกะทัดรัดมาก ๆ จำลองจากของจริงเลย เพราะเค้าจะมีรูปถ่ายสมัยนั้นจริง ๆ ติดไว้ด้วย



รถโบราณ ขอนั่งหน่อยเหอะ



อันนี้เป็นเครื่องรีดน้ำออกจากผ้าเวลาซักผ้าเสร็จ แบบโบราณ











ใส่ผ้าเข้าไปแล้วก็หมุนแป้น น้ำก็จะออก แล้วถึงเอาไปตาก บ้านเราสมัยก่อนมีรึเปล่านะ ไม่รู้เหมือนกัน
รูปร่างหน้าตาเหมือนเครื่องรีดปลาหมึกเลยนะ





เสร็จจากเดินดูด้านในแล้วก็ออกมาเดินบริเวณข้างนอกบ้าง แต่ต้องทำใจเพราะหนาวยะเยือก และหิมะสูงมาก ๆ ต้องเดินแบบระวัง
รูปด้านบนเป็นรูปตัวเมือง Calgary ?ี่ถ่ายจาก Fort Calgary จริง ๆ มันอยู่กันคนละระดับ แต่หิมะทำให้มันดูหลอกตาเหมือนอยู่ระดับเดียวกัน

















มองไม่เห็นทางเดินเลยต้องเสี่ยงมั่ว เดินไป กอดอนเป็นคนนำ เราจะต้องเอาเท้าแหย่ลงไปก่อนว่าหิมะลึกแค่ไหน ถ้าแค่เข่าก็พอไปได้ คือเรามองไม่ออกว่าตรงไหนเป็นทางเท้า ถ้าเกิดเราเดินผิดอาจจะเป็นทางลาดหรือหลุม ก็อาจจะอันตรายได้





ที่สำคัญเวลาเดินในหิมะหนา ๆ ต้องก้าวเดินทันที ห้ามหยุด แถมวันนี้ลมก็แรงมาก ๆ ยิ่งเพิ่มความหนาวทวีคูณ













ด้านข้างของ Fort จะเป็นแม่น้ำชื่อ Bow เป็นแม่น้ำสายหลักของที่นี่

ตกตอนเย็นก็กะจะไปทานข้างร้านอาหารไทย เพราะมาที่นี่เป็นอาทิตย์กินแต่อาหารฝรั่งจะอ๊วกแตกอยู่แล้ว และได้โอกาสเพราะอยู่กันแค่สองคนเลยสะดวก ก็เลยเดิน ๆ หาร้านอาหารไทย ไปเจอร้านนึงดีใจมากอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เลยเดินตรงดิ่งไป แต่ขอโทษ ผิดหวังอย่างแรง มีป้ายติดไว้ว่า ปิด ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. ถึง วันที่ 4 ม.ค. เวรรกรรมสงสัยเจ้าของร้านจะกลับเมืองไทย ก็เลยต้องกลับไปรับประทานอาหารฝรั่งตามเคย



วันอาทิตย์ที่ 27 ธ.ค. ก็เตรียมตัวขับรถไปสนามบิน เพื่อกลับบ้านเฮา วันนี้หิมะตกหนักมาก หนักกว่าทุก ๆ วันเลยหวั่นใจมากเลยว่าเครื่องบินจะ ดีเลย์ หรือเปล่า แต่วิวสองข้างทางวันกลับสวยมาก ๆ ครึ้มไปด้วยหิมะโปรยปราย








รูปนี้แปลกถ่ายออกมากลายเป็นสีขาวดำไปซะเฉยเลย ต้นไม้ที่นี่สวยใหญ่เค้าจะปลูกต้นสนคริสต์มานต์ เพราะเวลาหิมะตกลงมาแล้วระอยู่ตามกิ่งจะสวยมาก ๆ และที่สำคัญมันชอบหิมะ จะไม่ตายจริงๆ เค้าไม่เรียกว่าตายหรอก ต้นไม้จะนอนหลับและจะตื่นมาอีกทีหน้าฤดูใบไม้ผลิ สังเกตุจากต้นซ้ายมือ ไม่ใช่ต้นคริสต์มาสต์ ใบร่วงแหงแก๋หมด นอนหลับไปเรียบร้อย



ส่งรถคืนที่สนามบินเสร็จ ก็มารอขึ้นเครื่อง ด้วยความง่วงเหงาหาวนอน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เพราะความหนาวมันทำให้ร่างกายเราต้องใช้พลังงานสูงมาก
โชคดีว่าเครื่องตรงเวลา ค่อยยังชั่วหน่อย และได้ hot chocolate จากร้าน Star buck เลยทำให้ตาสว่างขึ้นมาหน่อย

และแล้วก็จบไปอีกหนึ่งทริปสุดท้ายของปี 2008 แต่เป็นทริปที่ตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่ไปเที่ยวมา ที่สำคัญชอบและหลงรักหิมะมาก ๆ