Saturday, March 10, 2007

ตอบจดหมาย

ก้อยกับกอล์ฟ ถามว่าทำไมในรูปยังแต่งตัวเหมือนไม่หนาวเลย เรื่องของเรื่องอยากบอกว่าไม่มีเสื้อผ้าใส่ค่ะ มีเสวตเตอร์ติดตัวมาแค่ตัวเดียว เมื่อวันพฤหัสที่แล้วตัดสินใจไปชอปปิ้งคนเดียวที่ Target ก็ขับรถออกจากบ้านไปแวะกดเงิน ลองกดบัตรตัวเองเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นดีก็กดมา 200 เหรียญ แล้วก็ขับรถตรงไปที่ Target ขับไปประมาณซัก 30 โลเห็นจะได้ ก็ไปเดินดูเสื้อผ้าละราคาเต็มไปหมดเลย แต่หาไซด์เราไม่ค่อยได้ ก็เอาไปลองแล้วลองอีก ได้มาแค่ 3 ตัว เป็นสเวตเตอร์ สีดำ กับสีขาวหิมะ แล้วก็ได้กระเป๋ามา 2 ใบ ขาสั้น 1 ตัว เสื้อยืดอีก 1 ตัว ดูแล้วมันก็ถูกดีเสื้อยืดแค่ 10 เหรียญ แต่อย่าคูณกลับเป็นเงินไทยนะ สงสัยกลับไปชอปปิ้งเมืองไทยอะไร ๆ ก็ถูกไปหมด แล้วก็ของจุกจิก เบ็ดเสร็จก็หมดเงินไปประมาณ 140 เหรียญ ตอนไปเดินซื้อเสื้อผ้าคิดถึงโป่งมากเลย เหงามากต้องเดินชอปปิ้งคนเดียว

อ้อ ส่งรูปลูกน้องกระเทียมมาให้ดู โอ้โหขาวจั๊วเลยเนอะ ไม่เห็นเหมือนแม่เลย แต่ท่าทางจะห้าวเหมือนแม่

กอล์ฟ บ่นคิดถึงอยากคุยด้วยถ้ายังไงจะโทรไปหานะจ้ะ

** ใครก็ได้ช่วยกรุณาส่งตารางวันพระ มาให้หน่อยจะได้มั้ยคะ จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ เพราะตอนนี้เริ่มมีโครงการว่าจะไปวัดละหลังจากกลับจาก Key West

จิปาถะ

วันนี้วันเสาร์ต้องรีบมานั่งส่งอีเมลล์ก่อนเพราะว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะไม่อยู่ทั้งอาทิตย์ เพราะต้องกลับไปที่ Key West / Florida อีกครั้ง อาทิตย์หน้าเป็น Spring break ของเด็กนักเรียนที่นี่ คือ ปิด 1 อาทิตย์ กอดอนก็เลยจะพาลูก ๆ ไปเที่ยวอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง คงจะจำกันได้ คราวนี้เพิ่มโปรแกรมในการนั่งเรือต่อจาก Key West ไปดำน้ำกับไป Natural Park คือนั่งเรือไปประมาณ 1 ชม. ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วยังไงกลับมาจะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้างสนุกรึเปล่า ก็จะออกเดินทางกันเช้าวันจันทร์ แล้วกลับมาเย็นวันศุกร์ ที่ไม่ไปหรือกลับวันเสาร์ อาทิตย์เพราะว่า ช่วงนี้เลียมีแข่งวอลเลย์บอกทุกเสาร์ อาทิตย์เลย

เกรพฟรุต




ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องของกิน รูปนี้เป็นรูปเกรบฟรุต จำได้รึเปล่าที่เคยเล่าให้ฟังตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อาทิตย์แรกว่าเช้ามาเราจะกินเกรพฟรุตเป็นอาหารเช้าทุกเช้า กินแค่ครึ่งลูกก็อิ่มแล้ว เหลืออีกลูกห่อเก็บไว้ในตู้เย็น รสชาติอร่อยมากตื่นมาสลึมสลือตอนเช้า ๆ กินเกรพฟรุตเข้าไปจะตื่นทันที รสชาติคล้าย ๆ ส้มบ้านเรา แต่น้ำจะเยอะกว่าเพราะลูกใหญ่กว่า เวลากินก็ใช้ช้อนคว้านลงไปตามกลีบของมัน ส่วนราคาก็พอใช้ได้ตกลูกนึงประมาณ 80-100 บาท ถ้าใครมาเยี่ยมแล้วจะลองชิมกัน
และที่ขาดไม่ได้เลยที่จะต้องดื่มกันทั้งวันคือชา เพราะอากาศมันเย็น บ้านนี้จะไม่ดื่มกาแฟ แต่จะมีชาเต็มบ้านไปหมด แล้วก็มีหลายชนิดมาก อาทิเช่น ชาเขียว ชามะนาว sleepy tea , holiday tea, morning tea, english tea, chai tea (อันนี้จากสตาร์บัค) , pepermint tea เป็นต้น ตามด้วยคุกกี้ชอคโกแล็ตชิป
พูดถึงเรื่องของกิน เวลาเราไปร้านอาหารที่นี่ หรือเวลาเราไปตามซุปเปอร์มาเก็ต หรืออะไรก็ตามที่เป็นงานบริการ เค้าจะพูดติดปากเลยว่า How are you doing? เค้าจะไม่นิยมพูดว่า How are you? คนส่วนใหญ่ที่นี่จะตอบกลับว่า good ไม่ต้องไปตอบว่า Fine thank you and you? อันนี้ไม่ต้องตอบแต่เพียงสั้น ๆ พอเค้ามาเสริฟอาหารเสร็จเค้าก็จะเดินกลับมาถามอีกว่า อาหารเป็นยังไงบ้างอร่อยมั้ย เราก็ต้องตอบว่า อร่อยมาก บางทีอาหารยังคาปากอยู่เลย เลยได้แต่พยักหน้า คล้าย ๆ เวลาเราไปกินไอสครีมเสว็นเซ่น เด็กเสริฟจะกลับมาถามเราอีกว่าเป็นยังไงบ้างคะอร่อยมั้ยคะ แต่ที่นี่เค้าจะเป็นธรรมเนียมแบบนีุ้ทุกร้าน ส่วนเครื่องดื่มที่นี่ส่วนใหญ่จะเติมไม่อั้น เมื่อเราทานอาหารเสร็จเค้าจะมาเก็บจานเลย และตามด้วยบิลเก็บเงินโดยไม่ต้องเรียก บ๋อยเช็คบิลด้วย แต่ดูเหมือนไล่กลาย ๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ
เวลาจ่ายเงินซื้อของตามสโตร์ ก็เหมือนกันเค้าก็จะถามว่า How are you doing? อันนี้กรณีสั้น ๆ นะ แต่บางคนจะถามมากกว่านั้น เช่น สินค้าของเราเป็นยังไงบ้างคะ ต้องการนี่เพิ่มมั้ยคะ ต้องการนั่นเพิ่มมั้ยคะ อะไรประมาณนี้ น่าเบื่อมาก พอจ่ายเงินเสร็จเค้าก็พูดว่า Have a nice day บางคนก็จะตอบกลับว่า Thanks แต่กอดอนมักจะตอบกลับว่า you too ที่นี่เค้าจะพูด Thank you กับ excuse me กันจนติดปาก ขนาดเดินซื้อของสวนกับฝรั่ง ไม่ได้ชนกันเลย แค่สวนกันใกล้ ๆ เค้าก็จะมีมารยาทมาก จะพูด excuse me ตลอด เท่าที่เห็นไม่ค่อยเห็นเค้าอารมณ์เสียใส่กันเลย ไม่เหมือนบ้านเรา ขัดใจอะไรหน่อยก็จะโวยวาย แต่ที่นี่งานบริการเค้าค่อนข้างเป็นเลิศ ดูแลลูกค้าอย่างดี แต่ก็มีเหมือนกันที่ช้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราไปสั่งให้ค้ามาวัดขนาดครัวเพื่อจะสั่งซื้อเตาอบกับไมโครเวฟใหม่ เค้าก็รับปากว่า 1 อาทิตย์เสร็จ แต่พอวันจริงเราไปที่ Low's ตามนัดเค้าก็บอกว่ายังไม่เสร็จ กอดอนเค้าก็โกรธเหมือนกันแต่เค้าไม่โวยวาย ขอพบผู้จัดการร้านอย่างเดียวว่ามันมีปัญหา โดยเค้าไม่ใส่อารมณ์กับเจ้าหน้าที่แต่เล่นระดับผู้จัดการเลย ก็ดีเหมือนกัน ทุกอย่างก็เลยเรียบร้อยโดยไว

นานาสา "รถ"

วันนี้อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องนานาสาระ เกี่ยวกับ รถ



รถประจำทาง ; หรือเค้าจะเรียกว่า เมโทร (Metro) รถประจำทางที่นี่เค้าจะไม่ได้มีดาดดื่น ไม่ได้จอดทุกป้าย แต่เค้าจะมี bus station อยู่ตามจุดต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามหมู่บ้าน คนที่นี่ทุกคนจะต้องมีรถคือขับรถไปจอดที่ bus station แล้วก็นั่งรถบัสต่อไปอีกทีเพื่อไปทำงาน หรือไม่ก็ปั่นจักรยานไปจอดไว้ รถก็จะวิ่งตรงดิ่งไปในเมือง เค้าจะเรียกในเมืองว่า ดาวทาวน์ Down Town แต่จะไม่มีเหมือนบ้านเราว่า รถสายนี้วิ่งไปที่นี่ สายนั้นวิ่งไปที่นั่น จะไม่มีเยอะเหมือนบ้านเรา ส่วนใหญ่มีเอาไว้บริการคนเข้าไปทำงานในเมืองมากกว่า แต่ถ้าเราจะไปไหนคือต้องขับรถไปเอง เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่ไม่มีรถไม่ได้เลย เวลาไปส่งกอดอนที่ bus station แล้วรถยังไม่มา คนที่นี่่เค้าจะยืนเค้าแถวรถขึี้นรถกันเป็นระเบียบมากเลย ไม่มีการแย่งกันขึ้นรถเด็ดขาด

รถรับส่งนักเรียน ; รถรับส่งนักเรียนที่นี่ก็จะเหมือนกันหมดเหมือนในหนังเลย คือจะเป็นรถบัสสีเหลือง ๆ จะวิ่งกันเต็มไปหมดประมาณช่วง บ่าย 2 โมงครึ่ง เพราะโรงเรียนเลิก จะไม่มีการเอารถแบบอื่นมาทำรถรับส่งนักเรียน เพราะกฎหมายเค้าบังคับเอาไว้เลย เวลาขับรถผ่าน โซนโรงเรียน เค้าจะกำหนดไว้เลยว่าขับได้แค่ 20 ไมล์ต่อชม. ห้ามขับเร็วกว่านี้เด็ดขาดมิฉะนั้นโดยค่าปรับหนักว่ากรณีอื่นหลายเท่า

รถไปรษณีย์ ; ก็จะไม่ใช่เป็นมอเตอร์ไซด์เหมือนบ้านเรา แต่จะเป็นคล้าย ๆ รถที่เค้าส่งของกัน คือเป็นกะบะ แล้วด้านหลังเป็นตู้สำหรับใส่ซองจำหมายกับพัสดุต่าง ๆ เวลาเค้ามาส่งไปรษรีย์เค้าก็จะจอดแล้วหย่อนจดหมายลงในตู้หน้าบ้านเลย ตู้รับจดหมายที่นี่ทุกบ้านจะมีรูปลักษณ์เหมือนกันหมด คือเป็นกล่องอยู่หน้าบ้าน ถ้านึกไม่ออกลองย้อนกลับไปดูรูปบ้านเก่า ๆ ที่เคยโพสท์ไว้ แปลกดี

** วันหลังถ้าไม่ขี้เกียจจะถ่ายรูปรถต่าง ๆ มาให้ดูย้อนหลังอีกที

ส่วนป้าย Stop ที่เคยเล่าให้ฟังว่าจะต้องจอดดูซ้าย ดูขวาก่อน หรือให้รถทางอื่นไปก่อน แล้วค่อยไป เป็นการสลับกันโดยไม่ต้องใช้ไฟจราจร น่าเอามาใช้ที่บ้านเราบ้าง ขนาดไม่มีรถจากทางอื่นมาเค้ายังจอดกันเลยถ้ามีป้ายนี้ แต่ถ้าเป็นพี่ไทยไม่รู้ว่าจะจอดกันรึเปล่า วันนี้มีรูปมาให้ดู รูปนี้ถ่ายที่โรงแรมมาริออท ที่ San Ramon เมื่อทริปที่แล้ว ตอนนี้ก็เริ่มชิน ๆ กับการจอดเมื่อเจอป้ายนี้ละ


Monday, March 5, 2007

Spring Season


วันศุกร์ที่แล้วก็เตรียมทำสวนกัน เพราะประมาณกลาง ๆ เดือนนี้ก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ก็คืออากาศจะเริ่มเย็นสบาย ไม่หนาวเกินไป และต้นไม้ ดอกไม้ก็จะเริ่มผลิดอก ออกใบ เราก็เลยวางแผนกันว่าวันนีจะเริ่มกวาดใบไม้แห้งออกจากสนามหญ้าให้หมดแล้วก็ ตัดหญ้า วันเสาร์ก็จะไปซื้อดอกไม้มาปลูกหน้าบ้าน
ภาพนี้เป็นหลังบ้านเป็น โรงจอดรถ บ้านฝรั่งเค้าจะต้องมีประตูปิดเปิดอัตโนมัติสำหรับโรงรถ เพราะหน้าหนาวเราสามารถปรับอุณหภูมิในโรงรถได้ด้วย รถจะได้ไม่เย็นเกินไป ก็เปิดประตูออกเพราะต้องเตรียมขนอุปกรณ์สำหรับทำสวนออกมา

ภาพนี้ก็เป็นภาพถ่ายจากหลังบ้านด้านซ้ายเป็นโรงรถ ห้องด้านขวาเป็นห้องนอนเลีย ส่วนไอ้ที่มีผ้าคลุมอยู่คือ เตาย่างบาบีคิวขนาดใหญ่ บางวันถ้าอากาศไม่เย็นมาก ประมาณซัก 18-20 องศาเราก็จะออกมา ย่างอะไรกินกันข้างนอก

กวาดใบไม้แห้ง



แล้วก็เริ่มทำการกวาดใบไม้แห้งที่ร่วงอยู่ตามสนามหญ้า เรารับผิดขอบดานข้างกับหลังบ้าน ส่วนกอดอนรับผิดชอบหน้าบ้าน แบ่งกันไป อากาศค่อนข้างหนาวตอนเช้า ประมาณ 10 องศา

บลูเบอรี่


กวาดไปกวาดมาเริ่มเหนื่อย และร้อน ใบไม้มันร่วงหมักหมมไว้นานมาก คิดดูก็แล้วกันตลอดหน้าหนาวตั้งหลายเดือน กว่าจะกวาดเสร็จ เนื้อที่สนามไม่ใช่น้อย ๆ เลย
แนวต้นไม้ใหญ่ด้านหลังบ้านนี้ กะไว้ว่าจะปลูกต้นบลูเบอรี่ ลูกสีม่วง ๆ เห็นเค้าบอกว่าอรอ่ย ยังไม่เคยกินเหมือนกัน วันก่อนดูเค้าสาธิตการทำเค้กบลูเบอรี่น่ากินมากเลย แถมที่สำคัญเค้าบอกว่าช่วยชลอความแก่ด้วย น่าสนใจเนอะ

แปลงดอกไม้


ตรงนี้จะเป็นแปลงสำหรับปลูกดอกไม้ด้านข้างบ้าน บ้านฝรั่งส่วนใหญ่เค้าจะไม่ปลูกดอกไม้เรี่ยราด แต่ละบ้านเค้าจะทำกั้นคอกเป็นแนวไว้ แล้วก็จะปลูกในบริเวณที่กั้นไว้นี้ตลอด ตรงหน้าบ้านก็เหมือนกัน
เมื่อวันอาทิตย์ไปที่ Garden Center ซื้อดอกไม้เตรียมมาปลูก ชื่อว่า Atazia ก็ซื้อคละสีมา มีสีส้ม สีแดง สีชมพู สีขาว ก็เอามาลงในแปลงเรียบร้อย แต่กอดอนบอกว่า ปีหน้าแหละมันถึงจะออกดอก และแผ่กิ่งก้านสวยงาม ไว้ปีหน้าจะถ่ายรูปมาให้ดู ที่ร้านดอกไม้ที่นี่ต้นไม้ใหญ่ ๆ จะราคาแพงมาก หยั่งต้นซากุระ สูงประมาณ 200 ซม. ราคา 5000 บาท กะว่าจะซื้อมาปลูกซักต้น เพราะเห็นบ้านอื่นปลูกแล้วงามมากเลย โดยเฉพาะหน้านี้มันจะออกดอกสีชมพูเต็มต้นไปหมด

เตียนโล่ง

บริเวณหลังบ้านเมื่อกวาดใบไม้ และตัดหญ้าเสร็จ ตอนเย็นระหว่างที่กวาดใบไม้อยู่ข้างบ้าน จะมีเด็กผู้หญิงประมาณ 8 คน อายุราว ๆ 5-6 ขวบ เดินมาสนามเด็กเล่นที่อยู่เยื้อง ๆ กับ ฝั่งตรงข้ามด้านข้างของบ้านเรา เค้าก็มาแอบยืนมองเรากวาดสนาม ตอนแรกก็ไม่เห็นหรอกพอดีเหลือบไปเห็นอะไรไหว ๆ พอเค้าเห็นเราหันไปมอง เค้าก็กระโดดโลดเต้นกันใหญ่ แล้วก็ตะโกนทักเรา พูดว่าอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะกอดอนกำลังตัดหญ้าอยู่เสียงดังมาก พอเรายิ้มตอบ เค้าก็โบกมือบ้ายบายกันใหญ่ น่ารักดี สงสัยเด็ก ๆ จะเห็นเราเป็นของแปลก

พิมพ์ลายนิ้วมือ

เมื่อวันพฤหัสที่แล้วที่บอกว่าจะไป พิมพ์ลายนิ้วมือ ที่ไปสำรวจเส้นทางมาแล้ว สรุปวันจริงก็เลยไปได้อย่างปลอดโปร่งไม่หลง ไปถึงก่อนเวลา เค้านัดตอนบ่าย 2 โมง แต่เราไปถึงเร็วไปถึงบ่ายโมงตรง แต่ยังไง้ยังไงก็อดที่จะมีปัญหาเล็ก ปัญหาน้อยไม่ได้ พอไปถึงตัวตึก มันจะเป็นตึกชั้นเดียวยาวขนานไปกับถนนประมาณซัก200 เมตร แล้วก็ลึกไปอีกประมาณ 200 เมตร พอจอดรถหน้าตึกเสร็จ ก็พยายามหาทางเข้า เพราะรอบตัวตึกจะเป็นกระจกหมดมองไม่เห็นด้านใน เดินไปด้านไหนก็เจอแต่ประตูเขียนประมาณว่า บุคคลภายนอกห้ามเข้า อะไรประมาณนี้ ก็เดินไปเจอแต่ประตูหยั่งงี้มัน 3 ประตูละ เอาวะตัดสินใจเข้าไปดีกว่า เพราะเรามีหนังสือนัดมาอาจจะเข้าได้ ก็เดินเข้าไปก็ไม่เจอผู้เจอคนเลย ก็เดินวนมันอยู่ตามตรอกซอกซอยในตึก จนไปเจอบันได ก็เดินดุ่ม ๆ ขึ้นไป มีพนักงานกำลังซ่อมสายไฟอยู่ตรงบันได 3-4 คน เค้าเห็นเรากำลังเดินขึ้นข้างบน เค้าก็ตะโกนถามว่า มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า ที่นี่เค้าจะเรียก ผู้หญิงว่าแหม่ม Mam ! Can I help you? เราก็เลยถามเค้าว่า เราจะมาพิมพ์ลายนิ้วมือหา ห้องไม่เจอ เค้าก็เลยบอกว่าให้เดินออกไปนอกตัวตึกอีกที แล้วเดินไปจนสุดตัวตึกอีกด้าน เลี้ยวขวา เดินไปอีกพักนึกจะเจอประตู โอ๊ย ค่อยยังชั่ว ก็เลยออกไปตั้งต้นใหม่ ก็ไปจนเจอประตูที่เขียนว่า Application Support Center ก็เดินเข้าไป มันจะเป็นห้องกว้าง ๆ มีเก้าอี้สำหรับนั่งรอประมาณ 10 แถว ๆ ละ20 ตัว เห็นจะได้ ก็มีคนนั่งรอคิวอยู่ประมาณ 10 กว่าคน เราก็เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งมานั่งทำหน้าที่เป็นรีเซฟชั่นอยู่หน้าห้อง บอกเค้าว่าเรามาตามนัดที่ให้มาพิมพ์ลายนิ้วมือ เค้าก็ยื่นเอกสารให้กรอก แล้วบอกว่าให้เอาเอกสารไปนั่งกรอก และไปนั่งรอที่แถวสุดท้าย เก้าอี้สุดท้าย แล้วก็รอสัมภาษณ์กับผู้จัดการเค้าจะออกมาเรียนหล่อนเอง เราก็งง ๆ ว่าฟังถูกรึเปล่าเนี่ย ทำไมต้องให้ไปนั่งเก้าอี้สุดท้าย แถวสุดท้ายด้วยเนี่ย เพราะเห็นคนอื่นเค้านั่งรอกันแถวหน้า รอเรียกพิมพ์ลายนิ้วมือ ก็เดินไปแบบงง ๆ ก็ไปนั่งแถวสุดท้าย ค่อนไปทางริมในที่เค้าบอกแต่ไม่ได้นั่งตัวสุดท้าย ก็นั่งกรอกเอกสารเสร็จก็เอาไปยื่นที่รีเซฟชั่นอีกที แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริงเป็นผู้หญิงผิวดำ เค้าก็ถามว่าสัมภาษณ์กับผู้จัดการรึยัง เราก็บอกว่ายังแล้วก็แก้เก้อว่า กะว่าจะเอกเอกสารมาให้ช่วยตรวจก่อนว่าถูกรึเปล่า เค้าก็บอกว่าอ้าวยามเค้าไม่ได้บอกเธอเหรอว่าให้นั่งรอผู้จัดการสัมภาษณ์ก่อนแล้วค่อยเอาเอกสารกลับมาที่นี่ โอ๊ยอยากจะร้องไห้ เลยต้องเดินกลับไปนั่งใหม่ ซักพักยามก็เดินมาสะกิดบอก แหม่ม เลื่อนไปนั่งเก้าอี้ริมสุดเลย เราก็เพิ่งเห็นว่าที่เก้าอี้มันมีติดไว้ว่าเก้าอี้สำหรับรอคุยกับผู้จัดการ ก็ว่าทำไมผู้จัดการไม่มาคุยด้วยซักที เพราะนั่งเก้าอี้ผิดตัวนี่เอง พอย้ายไปนั่งเก้าอี้ถูกตัวเท่านั้นแหละ ผู้จัดการก็ออกมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยครับ ยังหนุ่ม ๆ อยู่เลย เราก็บอกว่ารอพบผู้จัดการ เค้าก็บอกเค้านี่แหละ เค้าก็ขอเอกสารเรา ท่าทางใจดี ไม่พูดอะไรซักคำ ก็ดูเอกสารแล้วก็เซ็นต์ชื่อ แล้วก็หันมาบอกเราว่า You are very small แหะ ๆ แค่นั้นแหละก็ไม่ว่าอะไร ก็ส่งเอกสารคืนให้ และให้เรากลับไปหารีเซฟชั่นอีกที รีเซฟชั่นเธอก็ขอดูมือ ว่าปกติดีรึเปล่า แล้วก็ให้ บัตรคิวมาก็ไปนั่งรอปนกับชาวบ้าน แต่พอนั่งปุ๊บไม่รู้ทำไม เค้าเรียกเราเข้าไปพิมพ์ลายนิ้วมือเลย ไม่ต้องรอเหมือนคนอื่น ก็งง ๆ อีกเช่นเคย พอเข้าไป เค้าก็ให้พิมพ์ลายนิ้วมือ พิมพ์หลายรอบมาก ทั้งฝ่ามือ ทั้งนิ้วมือ พอพิมพ์เสร็จ หน้าตาเราคงจะเคร่งเครียดมาก เจ้าหน้าที่เค้าก็เลยบอก just relax and sit down to wait someone to check the information พอพิมพ์่ลายนิ้วมือเสร็จ ก็จะมีฝ่ายตรวจสอบมาตรวจสอบข้อมูลลายนิ้วมือที่พิมพ์เข้าไปอีกทีนึง พอพบว่าไม่มีปัญหา เป็นคน ๆ เดียวกันจริง เค้าก็เซ็นต์เอกสารให้เรา แล้วก็บอกว่าเรียบร้อย เฮ่อ โล่งอก ได้กลับบ้านซะที

ยังเหลือขั้นตอนสุดท้ายอีกขั้นตอนนึง คือการสัมภาษณ์ จะมีการถูกเรียกสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เค้าจะสัมภาษณ์เราแล้วก็กอร์ดอนด้วย กว่าจะได้กรีนการ์ดนี่มันยากจริง ๆ