ก้อยกับกอล์ฟ ถามว่าทำไมในรูปยังแต่งตัวเหมือนไม่หนาวเลย เรื่องของเรื่องอยากบอกว่าไม่มีเสื้อผ้าใส่ค่ะ มีเสวตเตอร์ติดตัวมาแค่ตัวเดียว เมื่อวันพฤหัสที่แล้วตัดสินใจไปชอปปิ้งคนเดียวที่ Target ก็ขับรถออกจากบ้านไปแวะกดเงิน ลองกดบัตรตัวเองเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นดีก็กดมา 200 เหรียญ แล้วก็ขับรถตรงไปที่ Target ขับไปประมาณซัก 30 โลเห็นจะได้ ก็ไปเดินดูเสื้อผ้าละราคาเต็มไปหมดเลย แต่หาไซด์เราไม่ค่อยได้ ก็เอาไปลองแล้วลองอีก ได้มาแค่ 3 ตัว เป็นสเวตเตอร์ สีดำ กับสีขาวหิมะ แล้วก็ได้กระเป๋ามา 2 ใบ ขาสั้น 1 ตัว เสื้อยืดอีก 1 ตัว ดูแล้วมันก็ถูกดีเสื้อยืดแค่ 10 เหรียญ แต่อย่าคูณกลับเป็นเงินไทยนะ สงสัยกลับไปชอปปิ้งเมืองไทยอะไร ๆ ก็ถูกไปหมด แล้วก็ของจุกจิก เบ็ดเสร็จก็หมดเงินไปประมาณ 140 เหรียญ ตอนไปเดินซื้อเสื้อผ้าคิดถึงโป่งมากเลย เหงามากต้องเดินชอปปิ้งคนเดียว
อ้อ ส่งรูปลูกน้องกระเทียมมาให้ดู โอ้โหขาวจั๊วเลยเนอะ ไม่เห็นเหมือนแม่เลย แต่ท่าทางจะห้าวเหมือนแม่
กอล์ฟ บ่นคิดถึงอยากคุยด้วยถ้ายังไงจะโทรไปหานะจ้ะ
** ใครก็ได้ช่วยกรุณาส่งตารางวันพระ มาให้หน่อยจะได้มั้ยคะ จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ เพราะตอนนี้เริ่มมีโครงการว่าจะไปวัดละหลังจากกลับจาก Key West
ขออวยพร วอนอ้าง คุณพระพุทธ ได้ปกป้อง ผองมนุษย์ โศกกษัย ขออ้างคุณ พระธรรม อันอำไพ ช่วยคุ้มสัตว์ ทั่วไป ไร้โรคา ขออวยพร วอนอ้าง คุณพระสงฆ์ ช่วยธำรง สุขสันต์ กันทั่วหน้า ข้าร่ำร้อง ลำนำ พร่ำภาวนา ทั่วโลกา สิ้นทุกข์ ผาสุกเอย ... ท่านพุทธาสภิกขุ....
Saturday, March 10, 2007
จิปาถะ
วันนี้วันเสาร์ต้องรีบมานั่งส่งอีเมลล์ก่อนเพราะว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะไม่อยู่ทั้งอาทิตย์ เพราะต้องกลับไปที่ Key West / Florida อีกครั้ง อาทิตย์หน้าเป็น Spring break ของเด็กนักเรียนที่นี่ คือ ปิด 1 อาทิตย์ กอดอนก็เลยจะพาลูก ๆ ไปเที่ยวอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง คงจะจำกันได้ คราวนี้เพิ่มโปรแกรมในการนั่งเรือต่อจาก Key West ไปดำน้ำกับไป Natural Park คือนั่งเรือไปประมาณ 1 ชม. ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วยังไงกลับมาจะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้างสนุกรึเปล่า ก็จะออกเดินทางกันเช้าวันจันทร์ แล้วกลับมาเย็นวันศุกร์ ที่ไม่ไปหรือกลับวันเสาร์ อาทิตย์เพราะว่า ช่วงนี้เลียมีแข่งวอลเลย์บอกทุกเสาร์ อาทิตย์เลย
เกรพฟรุต
ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องของกิน รูปนี้เป็นรูปเกรบฟรุต จำได้รึเปล่าที่เคยเล่าให้ฟังตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อาทิตย์แรกว่าเช้ามาเราจะกินเกรพฟรุตเป็นอาหารเช้าทุกเช้า กินแค่ครึ่งลูกก็อิ่มแล้ว เหลืออีกลูกห่อเก็บไว้ในตู้เย็น รสชาติอร่อยมากตื่นมาสลึมสลือตอนเช้า ๆ กินเกรพฟรุตเข้าไปจะตื่นทันที รสชาติคล้าย ๆ ส้มบ้านเรา แต่น้ำจะเยอะกว่าเพราะลูกใหญ่กว่า เวลากินก็ใช้ช้อนคว้านลงไปตามกลีบของมัน ส่วนราคาก็พอใช้ได้ตกลูกนึงประมาณ 80-100 บาท ถ้าใครมาเยี่ยมแล้วจะลองชิมกัน
และที่ขาดไม่ได้เลยที่จะต้องดื่มกันทั้งวันคือชา เพราะอากาศมันเย็น บ้านนี้จะไม่ดื่มกาแฟ แต่จะมีชาเต็มบ้านไปหมด แล้วก็มีหลายชนิดมาก อาทิเช่น ชาเขียว ชามะนาว sleepy tea , holiday tea, morning tea, english tea, chai tea (อันนี้จากสตาร์บัค) , pepermint tea เป็นต้น ตามด้วยคุกกี้ชอคโกแล็ตชิป
พูดถึงเรื่องของกิน เวลาเราไปร้านอาหารที่นี่ หรือเวลาเราไปตามซุปเปอร์มาเก็ต หรืออะไรก็ตามที่เป็นงานบริการ เค้าจะพูดติดปากเลยว่า How are you doing? เค้าจะไม่นิยมพูดว่า How are you? คนส่วนใหญ่ที่นี่จะตอบกลับว่า good ไม่ต้องไปตอบว่า Fine thank you and you? อันนี้ไม่ต้องตอบแต่เพียงสั้น ๆ พอเค้ามาเสริฟอาหารเสร็จเค้าก็จะเดินกลับมาถามอีกว่า อาหารเป็นยังไงบ้างอร่อยมั้ย เราก็ต้องตอบว่า อร่อยมาก บางทีอาหารยังคาปากอยู่เลย เลยได้แต่พยักหน้า คล้าย ๆ เวลาเราไปกินไอสครีมเสว็นเซ่น เด็กเสริฟจะกลับมาถามเราอีกว่าเป็นยังไงบ้างคะอร่อยมั้ยคะ แต่ที่นี่เค้าจะเป็นธรรมเนียมแบบนีุ้ทุกร้าน ส่วนเครื่องดื่มที่นี่ส่วนใหญ่จะเติมไม่อั้น เมื่อเราทานอาหารเสร็จเค้าจะมาเก็บจานเลย และตามด้วยบิลเก็บเงินโดยไม่ต้องเรียก บ๋อยเช็คบิลด้วย แต่ดูเหมือนไล่กลาย ๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ
เวลาจ่ายเงินซื้อของตามสโตร์ ก็เหมือนกันเค้าก็จะถามว่า How are you doing? อันนี้กรณีสั้น ๆ นะ แต่บางคนจะถามมากกว่านั้น เช่น สินค้าของเราเป็นยังไงบ้างคะ ต้องการนี่เพิ่มมั้ยคะ ต้องการนั่นเพิ่มมั้ยคะ อะไรประมาณนี้ น่าเบื่อมาก พอจ่ายเงินเสร็จเค้าก็พูดว่า Have a nice day บางคนก็จะตอบกลับว่า Thanks แต่กอดอนมักจะตอบกลับว่า you too ที่นี่เค้าจะพูด Thank you กับ excuse me กันจนติดปาก ขนาดเดินซื้อของสวนกับฝรั่ง ไม่ได้ชนกันเลย แค่สวนกันใกล้ ๆ เค้าก็จะมีมารยาทมาก จะพูด excuse me ตลอด เท่าที่เห็นไม่ค่อยเห็นเค้าอารมณ์เสียใส่กันเลย ไม่เหมือนบ้านเรา ขัดใจอะไรหน่อยก็จะโวยวาย แต่ที่นี่งานบริการเค้าค่อนข้างเป็นเลิศ ดูแลลูกค้าอย่างดี แต่ก็มีเหมือนกันที่ช้าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราไปสั่งให้ค้ามาวัดขนาดครัวเพื่อจะสั่งซื้อเตาอบกับไมโครเวฟใหม่ เค้าก็รับปากว่า 1 อาทิตย์เสร็จ แต่พอวันจริงเราไปที่ Low's ตามนัดเค้าก็บอกว่ายังไม่เสร็จ กอดอนเค้าก็โกรธเหมือนกันแต่เค้าไม่โวยวาย ขอพบผู้จัดการร้านอย่างเดียวว่ามันมีปัญหา โดยเค้าไม่ใส่อารมณ์กับเจ้าหน้าที่แต่เล่นระดับผู้จัดการเลย ก็ดีเหมือนกัน ทุกอย่างก็เลยเรียบร้อยโดยไว
นานาสา "รถ"
วันนี้อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องนานาสาระ เกี่ยวกับ รถ
รถประจำทาง ; หรือเค้าจะเรียกว่า เมโทร (Metro) รถประจำทางที่นี่เค้าจะไม่ได้มีดาดดื่น ไม่ได้จอดทุกป้าย แต่เค้าจะมี bus station อยู่ตามจุดต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามหมู่บ้าน คนที่นี่ทุกคนจะต้องมีรถคือขับรถไปจอดที่ bus station แล้วก็นั่งรถบัสต่อไปอีกทีเพื่อไปทำงาน หรือไม่ก็ปั่นจักรยานไปจอดไว้ รถก็จะวิ่งตรงดิ่งไปในเมือง เค้าจะเรียกในเมืองว่า ดาวทาวน์ Down Town แต่จะไม่มีเหมือนบ้านเราว่า รถสายนี้วิ่งไปที่นี่ สายนั้นวิ่งไปที่นั่น จะไม่มีเยอะเหมือนบ้านเรา ส่วนใหญ่มีเอาไว้บริการคนเข้าไปทำงานในเมืองมากกว่า แต่ถ้าเราจะไปไหนคือต้องขับรถไปเอง เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่ไม่มีรถไม่ได้เลย เวลาไปส่งกอดอนที่ bus station แล้วรถยังไม่มา คนที่นี่่เค้าจะยืนเค้าแถวรถขึี้นรถกันเป็นระเบียบมากเลย ไม่มีการแย่งกันขึ้นรถเด็ดขาด
รถรับส่งนักเรียน ; รถรับส่งนักเรียนที่นี่ก็จะเหมือนกันหมดเหมือนในหนังเลย คือจะเป็นรถบัสสีเหลือง ๆ จะวิ่งกันเต็มไปหมดประมาณช่วง บ่าย 2 โมงครึ่ง เพราะโรงเรียนเลิก จะไม่มีการเอารถแบบอื่นมาทำรถรับส่งนักเรียน เพราะกฎหมายเค้าบังคับเอาไว้เลย เวลาขับรถผ่าน โซนโรงเรียน เค้าจะกำหนดไว้เลยว่าขับได้แค่ 20 ไมล์ต่อชม. ห้ามขับเร็วกว่านี้เด็ดขาดมิฉะนั้นโดยค่าปรับหนักว่ากรณีอื่นหลายเท่า
รถไปรษณีย์ ; ก็จะไม่ใช่เป็นมอเตอร์ไซด์เหมือนบ้านเรา แต่จะเป็นคล้าย ๆ รถที่เค้าส่งของกัน คือเป็นกะบะ แล้วด้านหลังเป็นตู้สำหรับใส่ซองจำหมายกับพัสดุต่าง ๆ เวลาเค้ามาส่งไปรษรีย์เค้าก็จะจอดแล้วหย่อนจดหมายลงในตู้หน้าบ้านเลย ตู้รับจดหมายที่นี่ทุกบ้านจะมีรูปลักษณ์เหมือนกันหมด คือเป็นกล่องอยู่หน้าบ้าน ถ้านึกไม่ออกลองย้อนกลับไปดูรูปบ้านเก่า ๆ ที่เคยโพสท์ไว้ แปลกดี
รถประจำทาง ; หรือเค้าจะเรียกว่า เมโทร (Metro) รถประจำทางที่นี่เค้าจะไม่ได้มีดาดดื่น ไม่ได้จอดทุกป้าย แต่เค้าจะมี bus station อยู่ตามจุดต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามหมู่บ้าน คนที่นี่ทุกคนจะต้องมีรถคือขับรถไปจอดที่ bus station แล้วก็นั่งรถบัสต่อไปอีกทีเพื่อไปทำงาน หรือไม่ก็ปั่นจักรยานไปจอดไว้ รถก็จะวิ่งตรงดิ่งไปในเมือง เค้าจะเรียกในเมืองว่า ดาวทาวน์ Down Town แต่จะไม่มีเหมือนบ้านเราว่า รถสายนี้วิ่งไปที่นี่ สายนั้นวิ่งไปที่นั่น จะไม่มีเยอะเหมือนบ้านเรา ส่วนใหญ่มีเอาไว้บริการคนเข้าไปทำงานในเมืองมากกว่า แต่ถ้าเราจะไปไหนคือต้องขับรถไปเอง เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่ไม่มีรถไม่ได้เลย เวลาไปส่งกอดอนที่ bus station แล้วรถยังไม่มา คนที่นี่่เค้าจะยืนเค้าแถวรถขึี้นรถกันเป็นระเบียบมากเลย ไม่มีการแย่งกันขึ้นรถเด็ดขาด
รถรับส่งนักเรียน ; รถรับส่งนักเรียนที่นี่ก็จะเหมือนกันหมดเหมือนในหนังเลย คือจะเป็นรถบัสสีเหลือง ๆ จะวิ่งกันเต็มไปหมดประมาณช่วง บ่าย 2 โมงครึ่ง เพราะโรงเรียนเลิก จะไม่มีการเอารถแบบอื่นมาทำรถรับส่งนักเรียน เพราะกฎหมายเค้าบังคับเอาไว้เลย เวลาขับรถผ่าน โซนโรงเรียน เค้าจะกำหนดไว้เลยว่าขับได้แค่ 20 ไมล์ต่อชม. ห้ามขับเร็วกว่านี้เด็ดขาดมิฉะนั้นโดยค่าปรับหนักว่ากรณีอื่นหลายเท่า
รถไปรษณีย์ ; ก็จะไม่ใช่เป็นมอเตอร์ไซด์เหมือนบ้านเรา แต่จะเป็นคล้าย ๆ รถที่เค้าส่งของกัน คือเป็นกะบะ แล้วด้านหลังเป็นตู้สำหรับใส่ซองจำหมายกับพัสดุต่าง ๆ เวลาเค้ามาส่งไปรษรีย์เค้าก็จะจอดแล้วหย่อนจดหมายลงในตู้หน้าบ้านเลย ตู้รับจดหมายที่นี่ทุกบ้านจะมีรูปลักษณ์เหมือนกันหมด คือเป็นกล่องอยู่หน้าบ้าน ถ้านึกไม่ออกลองย้อนกลับไปดูรูปบ้านเก่า ๆ ที่เคยโพสท์ไว้ แปลกดี
** วันหลังถ้าไม่ขี้เกียจจะถ่ายรูปรถต่าง ๆ มาให้ดูย้อนหลังอีกที
ส่วนป้าย Stop ที่เคยเล่าให้ฟังว่าจะต้องจอดดูซ้าย ดูขวาก่อน หรือให้รถทางอื่นไปก่อน แล้วค่อยไป เป็นการสลับกันโดยไม่ต้องใช้ไฟจราจร น่าเอามาใช้ที่บ้านเราบ้าง ขนาดไม่มีรถจากทางอื่นมาเค้ายังจอดกันเลยถ้ามีป้ายนี้ แต่ถ้าเป็นพี่ไทยไม่รู้ว่าจะจอดกันรึเปล่า วันนี้มีรูปมาให้ดู รูปนี้ถ่ายที่โรงแรมมาริออท ที่ San Ramon เมื่อทริปที่แล้ว ตอนนี้ก็เริ่มชิน ๆ กับการจอดเมื่อเจอป้ายนี้ละMonday, March 5, 2007
Spring Season
วันศุกร์ที่แล้วก็เตรียมทำสวนกัน เพราะประมาณกลาง ๆ เดือนนี้ก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ก็คืออากาศจะเริ่มเย็นสบาย ไม่หนาวเกินไป และต้นไม้ ดอกไม้ก็จะเริ่มผลิดอก ออกใบ เราก็เลยวางแผนกันว่าวันนีจะเริ่มกวาดใบไม้แห้งออกจากสนามหญ้าให้หมดแล้วก็ ตัดหญ้า วันเสาร์ก็จะไปซื้อดอกไม้มาปลูกหน้าบ้าน
ภาพนี้เป็นหลังบ้านเป็น โรงจอดรถ บ้านฝรั่งเค้าจะต้องมีประตูปิดเปิดอัตโนมัติสำหรับโรงรถ เพราะหน้าหนาวเราสามารถปรับอุณหภูมิในโรงรถได้ด้วย รถจะได้ไม่เย็นเกินไป ก็เปิดประตูออกเพราะต้องเตรียมขนอุปกรณ์สำหรับทำสวนออกมา
กวาดใบไม้แห้ง
บลูเบอรี่
กวาดไปกวาดมาเริ่มเหนื่อย และร้อน ใบไม้มันร่วงหมักหมมไว้นานมาก คิดดูก็แล้วกันตลอดหน้าหนาวตั้งหลายเดือน กว่าจะกวาดเสร็จ เนื้อที่สนามไม่ใช่น้อย ๆ เลย
แนวต้นไม้ใหญ่ด้านหลังบ้านนี้ กะไว้ว่าจะปลูกต้นบลูเบอรี่ ลูกสีม่วง ๆ เห็นเค้าบอกว่าอรอ่ย ยังไม่เคยกินเหมือนกัน วันก่อนดูเค้าสาธิตการทำเค้กบลูเบอรี่น่ากินมากเลย แถมที่สำคัญเค้าบอกว่าช่วยชลอความแก่ด้วย น่าสนใจเนอะ
แปลงดอกไม้
ตรงนี้จะเป็นแปลงสำหรับปลูกดอกไม้ด้านข้างบ้าน บ้านฝรั่งส่วนใหญ่เค้าจะไม่ปลูกดอกไม้เรี่ยราด แต่ละบ้านเค้าจะทำกั้นคอกเป็นแนวไว้ แล้วก็จะปลูกในบริเวณที่กั้นไว้นี้ตลอด ตรงหน้าบ้านก็เหมือนกัน
เมื่อวันอาทิตย์ไปที่ Garden Center ซื้อดอกไม้เตรียมมาปลูก ชื่อว่า Atazia ก็ซื้อคละสีมา มีสีส้ม สีแดง สีชมพู สีขาว ก็เอามาลงในแปลงเรียบร้อย แต่กอดอนบอกว่า ปีหน้าแหละมันถึงจะออกดอก และแผ่กิ่งก้านสวยงาม ไว้ปีหน้าจะถ่ายรูปมาให้ดู ที่ร้านดอกไม้ที่นี่ต้นไม้ใหญ่ ๆ จะราคาแพงมาก หยั่งต้นซากุระ สูงประมาณ 200 ซม. ราคา 5000 บาท กะว่าจะซื้อมาปลูกซักต้น เพราะเห็นบ้านอื่นปลูกแล้วงามมากเลย โดยเฉพาะหน้านี้มันจะออกดอกสีชมพูเต็มต้นไปหมด
เตียนโล่ง
บริเวณหลังบ้านเมื่อกวาดใบไม้ และตัดหญ้าเสร็จ ตอนเย็นระหว่างที่กวาดใบไม้อยู่ข้างบ้าน จะมีเด็กผู้หญิงประมาณ 8 คน อายุราว ๆ 5-6 ขวบ เดินมาสนามเด็กเล่นที่อยู่เยื้อง ๆ กับ ฝั่งตรงข้ามด้านข้างของบ้านเรา เค้าก็มาแอบยืนมองเรากวาดสนาม ตอนแรกก็ไม่เห็นหรอกพอดีเหลือบไปเห็นอะไรไหว ๆ พอเค้าเห็นเราหันไปมอง เค้าก็กระโดดโลดเต้นกันใหญ่ แล้วก็ตะโกนทักเรา พูดว่าอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะกอดอนกำลังตัดหญ้าอยู่เสียงดังมาก พอเรายิ้มตอบ เค้าก็โบกมือบ้ายบายกันใหญ่ น่ารักดี สงสัยเด็ก ๆ จะเห็นเราเป็นของแปลก
พิมพ์ลายนิ้วมือ
เมื่อวันพฤหัสที่แล้วที่บอกว่าจะไป พิมพ์ลายนิ้วมือ ที่ไปสำรวจเส้นทางมาแล้ว สรุปวันจริงก็เลยไปได้อย่างปลอดโปร่งไม่หลง ไปถึงก่อนเวลา เค้านัดตอนบ่าย 2 โมง แต่เราไปถึงเร็วไปถึงบ่ายโมงตรง แต่ยังไง้ยังไงก็อดที่จะมีปัญหาเล็ก ปัญหาน้อยไม่ได้ พอไปถึงตัวตึก มันจะเป็นตึกชั้นเดียวยาวขนานไปกับถนนประมาณซัก200 เมตร แล้วก็ลึกไปอีกประมาณ 200 เมตร พอจอดรถหน้าตึกเสร็จ ก็พยายามหาทางเข้า เพราะรอบตัวตึกจะเป็นกระจกหมดมองไม่เห็นด้านใน เดินไปด้านไหนก็เจอแต่ประตูเขียนประมาณว่า บุคคลภายนอกห้ามเข้า อะไรประมาณนี้ ก็เดินไปเจอแต่ประตูหยั่งงี้มัน 3 ประตูละ เอาวะตัดสินใจเข้าไปดีกว่า เพราะเรามีหนังสือนัดมาอาจจะเข้าได้ ก็เดินเข้าไปก็ไม่เจอผู้เจอคนเลย ก็เดินวนมันอยู่ตามตรอกซอกซอยในตึก จนไปเจอบันได ก็เดินดุ่ม ๆ ขึ้นไป มีพนักงานกำลังซ่อมสายไฟอยู่ตรงบันได 3-4 คน เค้าเห็นเรากำลังเดินขึ้นข้างบน เค้าก็ตะโกนถามว่า มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า ที่นี่เค้าจะเรียก ผู้หญิงว่าแหม่ม Mam ! Can I help you? เราก็เลยถามเค้าว่า เราจะมาพิมพ์ลายนิ้วมือหา ห้องไม่เจอ เค้าก็เลยบอกว่าให้เดินออกไปนอกตัวตึกอีกที แล้วเดินไปจนสุดตัวตึกอีกด้าน เลี้ยวขวา เดินไปอีกพักนึกจะเจอประตู โอ๊ย ค่อยยังชั่ว ก็เลยออกไปตั้งต้นใหม่ ก็ไปจนเจอประตูที่เขียนว่า Application Support Center ก็เดินเข้าไป มันจะเป็นห้องกว้าง ๆ มีเก้าอี้สำหรับนั่งรอประมาณ 10 แถว ๆ ละ20 ตัว เห็นจะได้ ก็มีคนนั่งรอคิวอยู่ประมาณ 10 กว่าคน เราก็เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งมานั่งทำหน้าที่เป็นรีเซฟชั่นอยู่หน้าห้อง บอกเค้าว่าเรามาตามนัดที่ให้มาพิมพ์ลายนิ้วมือ เค้าก็ยื่นเอกสารให้กรอก แล้วบอกว่าให้เอาเอกสารไปนั่งกรอก และไปนั่งรอที่แถวสุดท้าย เก้าอี้สุดท้าย แล้วก็รอสัมภาษณ์กับผู้จัดการเค้าจะออกมาเรียนหล่อนเอง เราก็งง ๆ ว่าฟังถูกรึเปล่าเนี่ย ทำไมต้องให้ไปนั่งเก้าอี้สุดท้าย แถวสุดท้ายด้วยเนี่ย เพราะเห็นคนอื่นเค้านั่งรอกันแถวหน้า รอเรียกพิมพ์ลายนิ้วมือ ก็เดินไปแบบงง ๆ ก็ไปนั่งแถวสุดท้าย ค่อนไปทางริมในที่เค้าบอกแต่ไม่ได้นั่งตัวสุดท้าย ก็นั่งกรอกเอกสารเสร็จก็เอาไปยื่นที่รีเซฟชั่นอีกที แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริงเป็นผู้หญิงผิวดำ เค้าก็ถามว่าสัมภาษณ์กับผู้จัดการรึยัง เราก็บอกว่ายังแล้วก็แก้เก้อว่า กะว่าจะเอกเอกสารมาให้ช่วยตรวจก่อนว่าถูกรึเปล่า เค้าก็บอกว่าอ้าวยามเค้าไม่ได้บอกเธอเหรอว่าให้นั่งรอผู้จัดการสัมภาษณ์ก่อนแล้วค่อยเอาเอกสารกลับมาที่นี่ โอ๊ยอยากจะร้องไห้ เลยต้องเดินกลับไปนั่งใหม่ ซักพักยามก็เดินมาสะกิดบอก แหม่ม เลื่อนไปนั่งเก้าอี้ริมสุดเลย เราก็เพิ่งเห็นว่าที่เก้าอี้มันมีติดไว้ว่าเก้าอี้สำหรับรอคุยกับผู้จัดการ ก็ว่าทำไมผู้จัดการไม่มาคุยด้วยซักที เพราะนั่งเก้าอี้ผิดตัวนี่เอง พอย้ายไปนั่งเก้าอี้ถูกตัวเท่านั้นแหละ ผู้จัดการก็ออกมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยครับ ยังหนุ่ม ๆ อยู่เลย เราก็บอกว่ารอพบผู้จัดการ เค้าก็บอกเค้านี่แหละ เค้าก็ขอเอกสารเรา ท่าทางใจดี ไม่พูดอะไรซักคำ ก็ดูเอกสารแล้วก็เซ็นต์ชื่อ แล้วก็หันมาบอกเราว่า You are very small แหะ ๆ แค่นั้นแหละก็ไม่ว่าอะไร ก็ส่งเอกสารคืนให้ และให้เรากลับไปหารีเซฟชั่นอีกที รีเซฟชั่นเธอก็ขอดูมือ ว่าปกติดีรึเปล่า แล้วก็ให้ บัตรคิวมาก็ไปนั่งรอปนกับชาวบ้าน แต่พอนั่งปุ๊บไม่รู้ทำไม เค้าเรียกเราเข้าไปพิมพ์ลายนิ้วมือเลย ไม่ต้องรอเหมือนคนอื่น ก็งง ๆ อีกเช่นเคย พอเข้าไป เค้าก็ให้พิมพ์ลายนิ้วมือ พิมพ์หลายรอบมาก ทั้งฝ่ามือ ทั้งนิ้วมือ พอพิมพ์เสร็จ หน้าตาเราคงจะเคร่งเครียดมาก เจ้าหน้าที่เค้าก็เลยบอก just relax and sit down to wait someone to check the information พอพิมพ์่ลายนิ้วมือเสร็จ ก็จะมีฝ่ายตรวจสอบมาตรวจสอบข้อมูลลายนิ้วมือที่พิมพ์เข้าไปอีกทีนึง พอพบว่าไม่มีปัญหา เป็นคน ๆ เดียวกันจริง เค้าก็เซ็นต์เอกสารให้เรา แล้วก็บอกว่าเรียบร้อย เฮ่อ โล่งอก ได้กลับบ้านซะที
ยังเหลือขั้นตอนสุดท้ายอีกขั้นตอนนึง คือการสัมภาษณ์ จะมีการถูกเรียกสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เค้าจะสัมภาษณ์เราแล้วก็กอร์ดอนด้วย กว่าจะได้กรีนการ์ดนี่มันยากจริง ๆ
ยังเหลือขั้นตอนสุดท้ายอีกขั้นตอนนึง คือการสัมภาษณ์ จะมีการถูกเรียกสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เค้าจะสัมภาษณ์เราแล้วก็กอร์ดอนด้วย กว่าจะได้กรีนการ์ดนี่มันยากจริง ๆ
Subscribe to:
Posts (Atom)