และแล้วก็ได้ฤกษ์เขียนทริปฮาวายซะที ขึ้นชื่อว่าฮาวายไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ไม่อยากจะบอกว่าก่อนที่จะไปฮาวายแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฮาวายเลย รู้แต่ว่าเป็นหมู่เกาะ ที่สวยมีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นรัฐ ๆ หนึ่งของอเมริกา และ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวที่นี่สูงมาก รู้แค่นั้นเอง แต่พอได้ไปสัมผัสจริง ๆ มันยังมีอะไรอีกเยอะเลยที่เราไม่รู้เกี่ยวกับฮาวาย
ก็เริมต้นเดินทางจาก Houston Internation Airport ไปยังฮาวาย ใช้เวลา 8 ชม. ขนาดว่าอยู่ประเทศเดียวกันนะเนี่ย เดินทางไกลมาก โชคดีว่าเราไปชั้น Business Class กันก็เลยค่อยยังชั่วไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เราก็นั่งเครื่องบินของ Northwest Airline แล้วก็ไปต่อเครื่องของสายการบินฮาวายเอี้ยนที่ โฮโนลูลู Honolulu ซึ่งเป็นคล้าย ๆ เมืองหลวงของฮาวาย ฮาวายจะประกอบไปด้วยเกาะ ทั้งหมด 6 เกาะ คือ Big Island, Kauai , Lanai , Maui , Molokai, Oahu
ตอนไปถึงสนามบินโฮโนลูลู ก็ให้บรรยากาศของฮาวายมาก คือคนส่วนใหญ่ที่สนามบินจะใส่เสื้อฮาวายกัน แล้วก็คล้อยพวงมาลัยดอกไม้ เหมือนที่เรามักจะเห็นในหนัง ตามสนามบินก็จะมีพวงมัยลัยคล้องคอดอกไม้ขายเต็มไปหมด
Big Island จะเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะฮาวาย ตอนแรกกอดอร์นบอกว่าน่าจะใหญ่กว่าสมุยประมาณ 3 เท่า แต่พอไปถึงจริง ๆ โอ้โห มันไม่ใช่ 3 เท่านะเนี่ย มันน่าจะเกิน 10 เท่า เพราะใหญ่มาก ๆ ภูเขาเยอะมาก
พอมาถึงสนามบินของ Big Island ก็ต้องทึ่งเพราะ สนามบินเหมือนสนามบินที่สมุยบ้านเราเลย คือหน้าตาแบบในรูป ธรรมชาติ มาก ๆ มาถึงเราก็มารอรถบัสของบรษัทรถที่เราเช่ามารับ เราก็เช่ารถเก๋งแวนขับกัน รถใหญ่ดีมากๆ แล้วก็ขับรถไปโรงแรม เราพักที่โรงแรมแมริออทเจ้าเก่า
หาดที่เราไปพักชื่อ ไวโคโลอา Waikoloa
ก็ขับรถไปประมาณ 20 นาที ตอนเราไปถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้วประมาณ 6 โมง ขับรถไปสองข้างทางเรียกว่าตะลึง คือฝั่งสนามบินกับโรงแรมที่เราพักจะเป็นฝั่งตะวันตกของเกาะ สองข้างทางที่ขับรถไปมีแต่ ซากหินดำ ๆ เต็มไปหมดฝั่งซ้ายจะเลาะทะเลแต่เลาะแบบห่าง ๆ คือมีแผ่นดินกั้นอยู่ประมาณ 5 กม. ซึ่งไม่ค่อยมีต้นไม้เลย จะมีแต่หินดำ ๆ แล้วก็มีคนเอาก้อนหินสีขาวมาวางเรียงเป็นชื่อ เต็มไปหมดสองข้างทาง ส่วนทางขวาก็ลักษณะภูมิประเทศเหมือนกัน แต่มองไปไกล ๆ จะมีเืืืืทือกเขาอยู่แต่อยู่แบบลิบ ๆ บรรยากาศแบบ หานี่เหรอฮาวาย แปลก ก็มาไขข้อข้องใจว่าไอ้ที่เราขับรถผ่านจะเป็นโซนที่เคยมีลาวาไหลผ่าน เพราะเกาะนี้เป็นเกาะภูเขาไฟ เพราะฉะนั้นต้นไม้เลยตายหมด พื้นดินทั้งหลายที่เห็นก็คือซากของลาวา แต่ถ้าตรงไหนที่อายุลาวานานมาก ๆ แล้วก็จะพอมีต้นไม้ขึ้นมา
พอมาถึงโรงแรมมาริออท แล้วก็รู้สึกหายเหนื่อย โอ้สวยมาก โรงแรมสวยมาก ๆ ติดทะเล มองจะตรงล็อบบี้ลงไปจะเป็นสระน้ำมีหลายสระ แล้วก็มองเห็นทะเล ตัวโรงแรมจะเป็นแนวยาว เลยทำให้มองเห็นวิวได้แบบสวยมาก ลืมบอกไปว่าเวลาที่นี่จะช้าว่าที่ฮิวสตันที่เราอยู่ 5 ชม. เพราะฉะนั้นพอไปถึงโรงแรม 1 ทุ่ม ก็เรียกว่าเป็นเวลาเข้านอนของเราแล้วหละ เลยทำให้ง่างหงุบหงับมาก ๆ แต่ต้องไปกินอาหารเย็นก่อน กว่าจะเข้านอนได้ก็ 3 ทุ่ม ฮาวาย แต่ ตี 2 ที่ ฮิวส์ตัน ขนาดประเทศเดียวกันแท้ ๆ เวลาห่างกันตั้ง 5 ชม.
รูปนี้จะเป็นชายหาดหน้าโรงแรม หาดทรายขาว น้ำใส น้ำทะเลที่นี่สีจะฟ้าเข้มมาก ๆ มากแบบไม่เคยเห็นหนะ ในรูปอาจจะมองไม่ชัด แต่ของจริงนี่ ฟ้าแบบจัดจ้านมาก ตัดกับชายหาดสีขาว
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไม่พิรี้พิไร กิจกรรมแรกคือตีกอล์ฟ สนามกอล์ฟก็อยู่ติดกับโรงแรมไม่กี่ก้าว เป็นสนามที่สวยมาก อยู่ติดทะเล อากาศที่นี่ เย็นสบายตลอดปีคือ ประมาณ 18-20 องศา ถ้าไม่ออกไปโดนแดดก็เรียกว่าค่อนข้างเย็นเลยแหละ แต่ถ้าออกแดดก็ร้อนพอสมควรเพราะแดดแรงมาก จะไม่มีหน้าร้อน หน้าหนาว จะอากาศหยั่งงี้ตลอดปี คนถึงชอบมากัน วันที่เราไปตีกอล์ฟ ลมแรงมาก แรงมากๆ เลยทำให้ค่อนข้างเย็น และตียาก Leah ก็เข้าคอร์สเรียนตีกอล์ฟวันละ 1 ชม. เรียน 3 วันตอนเช้า
รูปนี้จะเป็นชายหาดหน้าโรงแรม หาดทรายขาว น้ำใส น้ำทะเลที่นี่สีจะฟ้าเข้มมาก ๆ มากแบบไม่เคยเห็นหนะ ในรูปอาจจะมองไม่ชัด แต่ของจริงนี่ ฟ้าแบบจัดจ้านมาก ตัดกับชายหาดสีขาว
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไม่พิรี้พิไร กิจกรรมแรกคือตีกอล์ฟ สนามกอล์ฟก็อยู่ติดกับโรงแรมไม่กี่ก้าว เป็นสนามที่สวยมาก อยู่ติดทะเล อากาศที่นี่ เย็นสบายตลอดปีคือ ประมาณ 18-20 องศา ถ้าไม่ออกไปโดนแดดก็เรียกว่าค่อนข้างเย็นเลยแหละ แต่ถ้าออกแดดก็ร้อนพอสมควรเพราะแดดแรงมาก จะไม่มีหน้าร้อน หน้าหนาว จะอากาศหยั่งงี้ตลอดปี คนถึงชอบมากัน วันที่เราไปตีกอล์ฟ ลมแรงมาก แรงมากๆ เลยทำให้ค่อนข้างเย็น และตียาก Leah ก็เข้าคอร์สเรียนตีกอล์ฟวันละ 1 ชม. เรียน 3 วันตอนเช้า
กิจกรรมหลักอีกอย่างทีชอบมากคือ ว่ายน้ำ ดำน้ำ ก็ไม่ได้ไปไกล หน้าโรงแรม ดำน้ำตื้นได้เลย สวยมาก ปลาเยอะมาก น้ำใสแจ๋ว
ถ้าเดินเลาะโรงแรมไปด้านขวามือก็จะมีซากลาวา ที่เห็นเรานั่ง อยู่ ดำ ๆ ทั้งหลายนั่นลาวาทั้งนั้นเลยนะ ดำปี๋เลย แล้วก็คมด้วย ได้แผลมาแผลนึเหมือนกันจากไอ้ก้อนลาวาเนี่ย
คือทะเลของเค้าถามว่าต่างทะเลสวย ๆ บ้านเรามั้ย มันก็ไม่ต่าง แต่เกาะเค้ามีเสน่ห์กว่าตรงที่ ไม่พลุกพล่านแออัด แล้วก็เกาะเค้าจะมีภูเขามาก คือเป็นหุบเขา ระหว่างทะเลกับเขาจะมีหุบเขาเต็มไปหมด คือทำให้เมื่อเราอยู่บนเขา มองลงมาเห็นทะเล เล่นน้ำอยู่ในทะเลมองไปก็เห็นเขา แล้วก็บ้านคนก็จะอยู่ตามหุบเขาที่ลดหลั่นกัน ทำให้บ้านส่วนใหญ่จะมองเห็นทะเล ซึ่งดูเป็นธรรมชาติมาก และบ้านคนที่นี่ก็อยู่กันแบบไม่แออัด ส่วนใหญ่จะมีอันจะกิน คือบ้านจะสวย ๆ แต่ละบ้านก็จะปลูกดอกไม้กันเต็มไปหมด
คือทะเลของเค้าถามว่าต่างทะเลสวย ๆ บ้านเรามั้ย มันก็ไม่ต่าง แต่เกาะเค้ามีเสน่ห์กว่าตรงที่ ไม่พลุกพล่านแออัด แล้วก็เกาะเค้าจะมีภูเขามาก คือเป็นหุบเขา ระหว่างทะเลกับเขาจะมีหุบเขาเต็มไปหมด คือทำให้เมื่อเราอยู่บนเขา มองลงมาเห็นทะเล เล่นน้ำอยู่ในทะเลมองไปก็เห็นเขา แล้วก็บ้านคนก็จะอยู่ตามหุบเขาที่ลดหลั่นกัน ทำให้บ้านส่วนใหญ่จะมองเห็นทะเล ซึ่งดูเป็นธรรมชาติมาก และบ้านคนที่นี่ก็อยู่กันแบบไม่แออัด ส่วนใหญ่จะมีอันจะกิน คือบ้านจะสวย ๆ แต่ละบ้านก็จะปลูกดอกไม้กันเต็มไปหมด
วันนี้เราก็เตรียมตัวออกเดินทางไปดูภูเขาไฟกัน เราก็ขับขึ้นทางเหนือของเกาะแล้วเลาะไปทางตะวันออก รูปที่เห็นเป็นช่วงที่เรากำลังหันหัวรถไปทางเหนือ ซึ่งมองลงไปเห็นทะเลสีฟ้าเข้มสวยมาก
พอขับเลาะไปทางเหนือ กับทางตะวันออก ภูมิประเทศก็เปลี่ยนไปอีกแบบ คือขับเลาะทะเลเหมือนกันแต่มองไม่เห็นทะเล เพราะจะมีต้นไม้บังตลอดทาง หรือบางช่างก็จะเป็นบ้านคน และขับขึ้นเขาไปเลย ๆ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ไต่ขึ้นไต่ลง 500 ฟุต 1000 ฟุต 2000 ฟุต ไปตลอดทาง ฝนก็ตกพรำ ๆ คือใช้เวลากว่าจะไปถึง อุทยานแห่งชาติ ภูเขาไฟ Volcano Internation Park ก็ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง เราเลยออกเดินทางแต่เช้า ออกจากโรงแรม 7 โมงเ้ช้า โดยแวะซื้อชา กาแฟ เค้กที่ สตาร์ับัค ไปกินระหว่างทางเลย
พอขับเลาะไปทางเหนือ กับทางตะวันออก ภูมิประเทศก็เปลี่ยนไปอีกแบบ คือขับเลาะทะเลเหมือนกันแต่มองไม่เห็นทะเล เพราะจะมีต้นไม้บังตลอดทาง หรือบางช่างก็จะเป็นบ้านคน และขับขึ้นเขาไปเลย ๆ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ไต่ขึ้นไต่ลง 500 ฟุต 1000 ฟุต 2000 ฟุต ไปตลอดทาง ฝนก็ตกพรำ ๆ คือใช้เวลากว่าจะไปถึง อุทยานแห่งชาติ ภูเขาไฟ Volcano Internation Park ก็ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง เราเลยออกเดินทางแต่เช้า ออกจากโรงแรม 7 โมงเ้ช้า โดยแวะซื้อชา กาแฟ เค้กที่ สตาร์ับัค ไปกินระหว่างทางเลย
ระหว่างที่เราขับรถไปอุทยาน ก็จะผ่านหุบเขาต่าง ๆ วิวสวยมาก แต่เราอยู่สูงจากทะเลค่อนข้างมาก โซนนี้จะไม่มีลาวาไหลผ่านเลย ต้นไม้เลยเขียวขจีไปหมด และอยู่ค่อนข้างสูง เลยน่าจะลอดพ้นจากลาวา
พอไปถึงอุทยาน เราก็แวะหาอะไรกินกันที่อุทยานก็เป็นพวกของง่าย ๆ พวกแซนวิชด์ ขนมขบเคี้ยว แล้วก็แวะดูแผนที่จะเที่ยว ว่าจะต้องไปตรงไหนบ้าง ดูจากแผนที่ในรูปเราก็แวะไปตามแต่ะละจุดที่เค้าบอก แต่อากาศไม่เื้อื้ออำนวจเลย ฝนตก ทำให้อากาศหนาวเย็นมาก อุณหภูมิน่าจะตกลงมาอยู่ที่ 8 องศา หนาวมากเพราะเราใส่ขาสั้นมา ใครจะไปคิดนะว่าฝนจะตก
ส่วนรูปนี้จะเป็นลาวาที่ไหลลงมาจากภูเขาไฟ น่ากลัว ๆ แล้วก็เกิดความสงสัยว่าทำไมคนเค้าถึงยังอยู่ที่เกาะนี้กันได้นะ เพราะว่าไอ้ลาวานี่มันไหลออกมาอยู่เรื่อย และถ้าไหลไปทางทิศที่เรามีบ้านอยู่มันก็เผาไหม้บ้านเราไปเลย ก็ต้องย้ายหนีกัน แต่เนื่องจากการไหลของมันช้ามาก ก็เลยไม่มีกรณีเจ็บตายกัน คือสามารถขนย้ายได้ทัน และที่สงสัยมาก ๆ คือ แถมบ้านที่นี่ยังราคาแพงมากด้วย ทั้ง ๆ ที่เสียงกับไอ้ลาวานี่ คนที่นี่ก็ถือว่าลาวาเป็นจุดขาย คือบ้านแทบทุกบ้านเอาก้อนลาวามาเป็นของประดับบ้านไปซะเลย เอามาทำเป็นกำแพงก็มี บางที่เห็นกำลังสร้างบ้าน ก็สร้างมันบนลาวานั่นแหละ ทางเข้าบ้าน ก็ขุดเอาลาวาออก งานหนักพอสมควร เพราะลาวาค่อนข้างแข็งมาก
เราก็แวะไปแต่ละจุดที่เค้าให้ไปดู สามารถขับรถไปได้ แต่บางจุดต้องเดินต่อเข้าไปไกลเหมือนกัน โดยแต่ละจุดเค้าจะมีป้ายบอกว่า ลาวาไหลมาปีไหน ก็มีหมดตั้งแต่ ปี ที่เรายังไม่เกิด 1960 1970 1980 2000
ส่วนรูปนี้จะเป็นโซนที่เพิ่งเกิดไปไม่นาน เป็นอาณาบริเวณกว้างมาก ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ถ่ายรูปมาดูไม่อลังการเท่าไหร่ แต่ถ้าใครไปเห็นของจริง จะแบบ โอ้โห มันไหลมาขนาดนี้เชียวเหรอ
อันนี้เค้าเรียก Lava Tube คือเป็นถ้ำ ซึ่งลาวาไหลผ่าน เพราะมันอยู่ในเขตของอุทยานภูเขาไฟ ก็คือในรัศมีของภูเขาไฟ
พอเราเสร็จจากดูซากลาวาในอดีต ก็ใช้เวลาไป 5 ชม. ไม่ใช่น้อย ๆ เลย หลังจากนั้นเราก็จะไปดูลาวาปัจจุบันที่กำลังไหลกัน ซึ่งต้องขับรถออกไปนอกอุทยาน ขับไปอีกประมาณ เกือบชั่วโมง ที่เห็นในรูปคือไอของลาวาที่ไหลจากเขาลงทะเล เค้าไม่ให้เข้าไปดูใกล้ ๆ มันอันตราย จากจุดที่เราดูอยู่น่าจะห่างประมาณ 200 เมตรเห็นจะได้ เราต้องจอดรถไว้ข้างนอกแล้วก็เดินเข้าไปจุดนี้ประมาณ ครึ่งกิโล โดยเค้ามีกฎว่าต้องสวมรองเท้าผ้าใบ และต้องมีไฟฉาย เพราะว่าเราต้องเดินบนลาวาเพราะที่ตรงนี้มันปกคลุมด้วยลาวาไปหมดซึ่งมันจะตะปุ่มตะปุ่มเดินยากเพราะฉะนั้นต้องใส่ผ้าใบ แล้วที่ต้องมีไฟฉายเพราะว่าทุกคนไปรอดูจนถึงพระอาิทิตย์ตกดิน เพื่อจะได้มองเห็นประกายไฟ เพราะมันมืด ถ้าไม่มีไฟฉายขากลับจะมองไม่เห็นทางเลย เพราะมันจะมืดไปหมด เราก็ซื้อไฟฉายเตรียมกันไปคนละกระบอกเรียบร้อย
อากาศก็เย็นดีจริง ๆ เลยเราก็นั่งรอกันตั้งแต่ 6 โมงเย็น พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยลงเรื่อย ๆ ก็เริ่มมองเห็นประกายไฟ ตื่นเต้นมาก
เราก็รอดูอยู่จนพระอาทิตย์ตกดินก็ตกประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสนิท พอดูจนสะใจแล้วก็ ใช้ไฟฉายของใครของมันเดินกลับไปที่รถ สนุกสนานดี เด็ก ๆ ชอบกันมาก เพราะเหมือนมาเข้าแคมป์อะไรซักอย่าง พอเสร็จก็เริ่มหิวโหย ก็แวะหาอะไรกินที่ Hino ชื่อเมืองที่เรามาดูภูเขาไฟที่เรา กินอะไรเสร็จสรรพก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า ง่วงหงุบหงับ เหนื่อยด้วยเพราะวันนี้เดินตากแดด ตากฝนทั้งวันไหนจะนั่งรถอีกหลายชั่วโมง ขากลับกอร์ดอนเลยเหยียบซะมิดเลย speed limit เค้าให้ขับแค่ 55 ไมล์ต่อชั่วโมง กอร์ดอนล่อไป 85 ไมลล์ต่อชั่วโมงตลอดทาง เพราะมันไม่มีรถเลยถนนเงียบมาก ส่วนเราลืมตาไม่ขึ้นเลย มึนหัวด้วย เพราะขับรถขึ้นเขา ลงเขาตลอด ขากลับต้องดมยาดมตลอดทาง แล้วก็หลับมาเกือบตลอดทาง มาตื่นอีกทีคือได้ยินเสียงรถตำรวจอยู่ข้างหลัง แต้วแหว่ แต้วแหว่ ดังสนั่น แถมเปิดไฟซะแสบตาไปหมด ไม่ตื่นก็ไม่รู้จะว่าไง ตำรวจบอกยูขับรถเร็วเกินกำหนด มาตลอดทาง แล้วก็เรียกกอร์ดอนลงไปเทศอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เวรกรรม จะถึงโรงแรมอยู่แค่เอื้อม ดันมาโดนตำรวจจับ โดนปรับสบายกระเป๋าไป 250 เหรียญ แพงชิบเป๋ง วันต่อ ๆ มาคุณพี่เลยขับรถดีมาก เค้าให้ขับแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ช้าไม่เร็ยกว่าที่เค้ากำหนดเลย เพราะตำรวจหมายหัวไว้ว่าถ้ายูขับผิดกฎที่นี่อีกคราวนี้ โดนหนักกว่าเดิม และต้องไปขึ้นศาล เฮ่อ วันนั้นสรุปได้นอนปาเข้าไปเกือบตึ 2
กินดินเนอร์ พร้อมดูโชว์ที่โรงแรม กลางแจ้งก็จะเป็นบุฟเฟต์อาหารพื้่นเมืองของชาวฮาวาย เราได้นั่งร่วมโต๊ะกับคนพื้นเมืองด้วย ลืมเ่ล่าให้ฟังว่า ชาวพื้นเมืองหรือชาวฮาวาเอี้ยน จริง ๆ ไม่ใช่ชาวอเมริกัน แต่เป็นพวกโพลิเนเชียน ที่อพยบมาอยู่นานเนเดดักมาแล้ว และอเมริกาก็เข้ามาปกครองที่นี่ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คนพื้นเมืองที่นี่ก็เลยพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ หน้าตาเค้าก็จะออกแบบโซนฟิลิปปินส์ หรือไม่ก็คนไทยโซนภาคใต้ คือคมเข้ม ผมหยักศก ผู้ชายจะตัวกำยำ สูงใหญ่ ผิวเข้มแต่ไม่ดำ เรียกว่าผู้หญิงผู้ชายที่นี่หน้าตาดีเขียวแหละ และเค้าก็จะมีภาษาถิ่นของเค้าที่เราฟังไม่รู้เรื่อง ดูหยั่งขื่อเกาะก็จะรู้ว่าไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
ก่อนรับประทานอาหารเค้าก็จะมีโชว์วิธีการทำอาหาร โดยสมัยก่อนชาวฮาวาเอี้ยนผู้ชายจะเป็นคนทำอาหาร ผู้หญิงห้ามเข้ามายุ่ง อันนี้เป็นอาหารหลักที่มีชื่อของเค้าคือ หมูฝังลงไปในดิน แล้วก็เผาอีท่าไหนก็ไม่รู้งง ๆ
อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารพื้นเมือง พอเห็นปุ๊บดีใจมาก เพราะหน้าตาเหมือนอาหารไทยเลย จะมีข้าวผัดด้วย แล้วก็อาหารคล้าย ๆ พวกยำบ้านเรา แต่ไม่มีแกง แล้วก็ไอ้หมูที่เค้าเอาขึ้นมาจากดินเมื่อตะกี้ตักมาเพียบด้วยความโลภ สรุปกินไม่ค่อยได้เลย รสปุเลี่ยน ปุเลี่ยน ออกแนวหวานอย่างเดียว ไม่มีรสเผ็ดเลย เรียกว่าไม่มีพริกเลยว่างั้นเหอะ ไอ้ที่หน้าตาเหมือนยำสรุปรสออกหวานเลี่ยน แต่ต้องพะอืดพะอมกินจนเกือบหมด เพราะนั่งร่วมโต๊ะกับคนพื้นเมือง เค้าถามว่าอร่อยมั้ย เราก็ต้องตอบว่าอร่อย อร่อยแล้วกินไม่หมดมันก็กะไรอยู่นะ
แต่ละเพลงที่เค้าออกมาโชว์จะเป็นเรื่องราว มีประวัติ ก็จะมีคนเล่าเรื่องก่อน
เคยเห็นแต่คนเต้นฮาวายของปลอมที่เมืองไทย มาดูของจริง ตะลึง ส่ายกันได้ยังไงเนี่ย สะโพกน่าหลุดมาก ลองมาเต้นเองเต้นไม่ได้เลย คือเค้าส่ายสะโพกแบบสะบัดมาก แต่ส่วนบนนิ่งไม่ขยับทำได้ไงเนี่ย ท่าเต้นเค้าเป็นแบบเฉพาะที่เข้ากับบรรยากาศจริง ๆ คือมันเหมาะกับบรรยากาศริมทะเลมาก ๆ เพลงเค้าก็มีเสน่ห์ แบบธรรมชาติเน้นเสียงกีตาร์ ดูโชว์อะไรเสร็จก็เดินกลับห้องนอนอย่างมีความสุขการการดูโชว์ แต่ไม่ค่อยมีความสุขกับอาหารเท่าไหร่
เคยเห็นแต่คนเต้นฮาวายของปลอมที่เมืองไทย มาดูของจริง ตะลึง ส่ายกันได้ยังไงเนี่ย สะโพกน่าหลุดมาก ลองมาเต้นเองเต้นไม่ได้เลย คือเค้าส่ายสะโพกแบบสะบัดมาก แต่ส่วนบนนิ่งไม่ขยับทำได้ไงเนี่ย ท่าเต้นเค้าเป็นแบบเฉพาะที่เข้ากับบรรยากาศจริง ๆ คือมันเหมาะกับบรรยากาศริมทะเลมาก ๆ เพลงเค้าก็มีเสน่ห์ แบบธรรมชาติเน้นเสียงกีตาร์ ดูโชว์อะไรเสร็จก็เดินกลับห้องนอนอย่างมีความสุขการการดูโชว์ แต่ไม่ค่อยมีความสุขกับอาหารเท่าไหร่
อยากบอกว่าร้านอาหารไทยที่นี่เท่าที่เจอปาเข้าไป 3 ร้านละ จะมีที่หาดที่เราพัก 1 ร้าน ก็ลองไปกินมาละ ไปกินคนเดียวตอนพ่อลูกเค้าไปตีกอล์ฟกัน สั่งส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวสวย (เผอิญไม่ชอบกินข้าวเหนียว) บอกเค้าว่าเอาเผ็ดปานกลาง ลืมบอกไปคนเสริ์ฟไม่ใช่คนไทย เป็นชาวฮาวาเอียน อุตส่าห์หาพี่ไทยคุยด้วยซะหน่อย ดันไม่ใช่ซะอีก พออาหารมาทำหน้าตาหน้ากินเชียว คือทั้งหมดอยู่ในจานเดียวกัน ไก่ย่างก็จะมาแบบเป็นชิ้นแบบเสต็ค พอลองชิม โอ้ส้มตำหรือนี่จืดสนิท แทบไม่มีรสอะไรเลย เวรอีกแล้วก็ต้องกล้ำกลืนกินจนหมดเหมือนเคย เพราะเป็นโรคขี้เกรงใจ ส่วนร้านที่เห็นในรูปเราไม่ได้เข้าไปกินหรอก เผอิญกินร้านอาหารฝรั่งข้าง ๆ กัน เลยขอถ่ายแค่รูปมาเป็นที่ระลึก
รูปนี้เป็น Hard Rock Cafe คงไม่มีใครไม่รู้จัก เราก็ไปกินดินเนอร์กัน ห้องอาหารจะอยู่ชั้นบน ด้านล่างจะเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านนี้จะอยู่ติดชายหาด แต่อยู่คนละหาดกับที่เราพัก ต้องขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมง ชื่อว่าหาด คายลูอา โคนา Kailua Kona หาดนี้จะไม่ใช่หาดส่วนตัวเหมือนที่เราพัก แต่จะค่อนข้างเป็นเมืองใหญ่ หาดก็จะมีร้านค้า ขายของ และร้านอาหารเยอะ
รูปนี้ถ่ายจากบนร้านอาหารที่ Hard Rock Cafe ก็จะมองเห็นวิวทะเล
ตอนกลางวันบางวันเราก็กลับไปเที่ยวที่หาดนี้อีก หลัก ๆ คือไปกิน ก็กลับไปกินที่ ฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ต์ อีกเพราะชอบอาหารที่นี่ และที่สำคัญร้านนี้กำลังจะปิดตัวลง วันที่ 22 ก.ค. นี้ เลยต้องอุดหนุนหน่อย แถมของที่ระลึก ก็ลด 50% เลยขนซื้อเสื้อกันมาคนละ 3-4 ตัว คือเรียกว่าไปวันไหนก็ได้วันนั้นคือซื้อเพิ่มทุกวัน อดไม่ได้เพราะมันถูกคิดดูปกติเสื้อยืดตัวละประมาณ 40-50 เหรียญ ลดเหลือครึ่งเดียว สรุป 3 คนกระหน่ำซื้อกันใหญ่ ทั้งเสื้อ ทั้งหมวก ทั้งตุ๊กตา
รูปนี้เป็นร้านไอศครีม และเป็นโรงงานทำขนมด้วย ทาสีร้านหวานมาก โดดเด่นจนเราต้องแวะเข้าไปดู ขนมก็จะเป็นพวกลูกอมหวาน ๆ เจ้าของเป็นชาวฟิลิปปินส์
ประวัติศาสตร์ของเค้าไม่มีอะไรมาก แค่เป็นคนชาวเผ่า
ออกจากอุทยานประวัติศาสตร์เราก็ขับรถลงทางใต้ของเกาะ ไปดูหน้าผา ส่วนที่เห็นนี่เป็นหลุมที่อยู่ใกล้หน้าผา ของจริงน่ากลัวมาก ค่อนข้างลึก ตกไปละซวยแน่
Aloha.....