Monday, May 28, 2007

ฉลองจบการศึุกษาของ เคลซี สปริงเกท

เนื่องจากวันศุกร์ที่ 25 นี้ เคลซีเค้าจะมีงานมอบประกาศคล้าย ๆ รับปริญญาเลย แต่นี่จบแค่เกรด 12 ก็คือ ม.6 เรานั่นเอง เค้าจะจัดรวมกันทุกโรงเรียนในฮิวส์ตัน ก็มีนักเรียนรวมกันประมาณ 900 คน งานเริ่มตอน 2 ทุ่ม จนถึง 4 ทุ่ม ผู้ปกครองก็เข้าไปนั่งดูลูกหลานรับประกาศข้างในได้ งานนี้พ่อของกอดอร์น หรือปู่ของเคลซี ก็มาร่วมแค่คนเดียว เดินทางมาจากคานาดา ก็มาอยู่ด้วยตั้งแต่วันพฤหัส แล้วก็กลับวันจันทร์ ก็มานอนพักที่บ้านเรา เราก็ลิสท์รายการกันใหญ่เลยว่าจะให้ กอดอร์นซีเนีย (ชื่อเหมือนกัน จำได้รึเปล่า) เค้าช่วยทำอะไรบ้าง ในบ้าน เพราะพ่อเค้าจบมาทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ส่วนกอร์ดอนจูเนียทำได้ทุกอย่างในบ้านยกเว้นระบบไฟฟ้า ก็เลยต้องรอพ่อเค้ามาช่วย ให้ทำหลายอย่างมากเลยไม่ว่าจะติดไฟใหม่ในครัว ไฟตรงโต๊ะคอม ช่วยทำเฟรมไม้แกะสลักที่เอามาจากเมืองไทย ในรูปด้านล่าง เป็นต้น

กอร์ดอนจูเนีย อายุ 76 ปี แต่เค้าดูกว่าคุณพ่อของเราเยอะ เพราะเค้าอ้วน แล้วก็เดินช้า ๆ เพราะเข่าไม่ค่อยดี เราเลยรู้สึกเหมือนเค้าเป็นรุ่นตา หรือปู่ มากกว่า บุคลิกขรึม ๆ ชอบดูแต่ข่าว แต่ก็จะมีมุขตลกออกมาเรื่อย ๆ ตอนเจอครั้งแรกก็รู้สึกเกรง ๆ อยู่เหมือนกัน แต่มาคราวนี้รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้น เค้าก็จะเรียกหาเราทั้งวัน ให้มาตรวจงานที่เค้่าทำ เค้าจะเรียกเรา บอส (Boss) บอส หายไปไหนมาเช็คงานหน่อยว่าชอบรึเปล่า คือเรียกว่าหายหัวไปไหนไม่ได้เลย วันแรกหายเข้าไปชงชาเย็นในครัว ก็เอาละได้ยินเค้าถาม กอรดอนจูเนีย ชารินี ทำอะไรในครัวหงะ คืออยากรู้ไปทุกเรื่องเลย นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ก็ถามเธออ่านอะไรหนะ ดูทีวีเค้าก็จะถามตลอด ดังไปรึเปล่า เบาไปรึเปล่า เธอชอบดูที่ชั้นเปิดรึเปล่า คือเค้าจะใส่ใจคอยถามตลอด

ส่วนเคลซี กับเลีย ไม่ได้มาอยู่ด้วยเค้าอยู่บ้านแม่กับญาติทางฝั่งแม่ที่มาร่วมงานฉลอง แต่วันอาทิตย์ 2 สาวก็จะมากินข้าวด้วย ตอนเช้าวันอาทิตย์ กอดอนซีเนียร์ก็แอบถามเราตอนกอรดอนจูเนียไม่อยู่ว่า เธอเข้ากับ 2 สาวได้รึเปล่า เราก็อึกอัก ๆ ไม่รู้จะพูดยังไงดี ก็เลยบอกว่า "ก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรกันมากส่วนใหญ่เค้าจะยุ่งแล้วก็คุยกับพ่อเค้ามากกว่า ส่วนตัวชั้นก็ค่อนข้างเงียบด้วย" เค้าก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกต้องใช้เวลา ขนาดชั้นยังไม่รู้จักหลานชั้นดีเลย" พอตอนเที่ยง 2 สาวมาเราก็สังเกตเห็นจริง ๆ ว่าเค้าไม่สนใจปู่เค้าเลย แค่ เซ ไฮ ไม่กอดไม่อะไร วัฒนธรรมฝรั่งถ้าสนิทกันส่วนใหญ่เวลาเจอกันต้องเข้ามากอด ขนาดเรายังกอดกอดอนซีเนียเลยตอนเค้ามาถึง แถมปูถามคำตอบคำ รู้สึกสงสารแกมากเลย 2 สาวจะคุยแต่กับพ่อตัวเองไม่สนใจปู่ แกทำตัวไม่ถูกเลย ส่วนเราหนะชินซะแล้วหละ กับการที่เค้าไม่คุยด้วย แต่นี่ปู่ตัวเองก็ไม่สนใจ จนแกเดินเข้ามากระซิบกับเรา " เธอเห็นมั้ยมันไม่คุยกับชั้นเลย" ก็เลยปลอบแกไปว่า " เป็นธรรมชาติของเด็กวัยรุ่นแหละที่ไม่ชอบคุยกับปู่ย่าตายาย เพราะบางทีมันน่าเบื่อ" แกน้อยใจ ขับรถออกจากบ้านไปซื้อของเลย หายไป 20 นาทีก็กลับมา ตอนนั่งกินข้าว 2 สาวก็ไม่สนใจ ไม่มองหน้าปูตัวเองเลย ปู่เค้าก็นั่งเงียบ ปล่อยให้พ่อลูกเค้าคุยกัน มีความรู้สึกเหมือนเรา 2 คนเป็นคนนอก เออ แฮะ สรุปไม่ได้เป็นที่เรานะเนี่ยที่เค้าเป็นแบบนี้ สรุปว่านิสัยของ 2 คนนี้เป็นหยั่งงี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปเราก็ไม่ต้องไปสนใจไม่ต้องไปเครียดกับหล่อนละ พอสองสาวกลับไป เราก็เลยยิ่งดูแลเอาใจใส่กอดอร์นซีเนียเป็นพิเศษ เพราะสงสารแกอุตส่าห์เดินทางมาจากคานาดาตั้ง 8 ชม. ค่าเครื่องบินก็แพ้ง แพง หลานสาวกลับไม่สนใจเลย มันน่าช้ำใจนะ

เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าทำไมส่วนใหญ่สังคมฝรั่งคนแก่มักโดนทอดทิ้งก็เพราะเลี้ยงดูกันหยั่งงี้เนี่ยแหละ คือพ่อแม่จะตามใจลูกมาก ทำให้ทุกอย่างแทบจะประเคนให้เลย ส่วนลูกก็ชินกับเป็นฝ่ายรับ แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายให้เลย เท่าที่สอบถามมาจากหลาย ๆ บ้านแล้ว จะเหมือน ๆ กันคือสังคมอเมริกัน ลูกคือพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น มีหน้าที่กินกับนอน เรียน ทำกิจกรรมอย่างเดียว อย่างอื่นพ่อแม่ทำให้หมด เวลากินข้าวบ้านเราจะต้องตักข้าวให้พ่อแม่ก่อน แต่ที่นี่ต้องให้ลูกตักก่อน ถ้าลูกยังไม่ตัก ก็รอไปเหอะ กอดอนจะพูดเสมอต้องให้เด็ก ๆ ตักก่อน ส่วนเรากินทีหลัง แปลกดีนะ ขนาดพ่อเค้ามาเราก็นึกว่าจะให้พ่อเค้าตักก่อน สรุปเหมือนเดิมเค้าให้ลูกตักก่อน แถมตอนนั่งกินข้าวด้วยกันแทนที่จะคุยกับพ่อ กลับคุยแต่กับลูกทิ้งพ่อตัวเองไปเลย คือเค้าจะให้ความสำคัญกับลูกมาก ลูกก็นั่งหน้าหงิก ไม่หันไปคุยหรือยิ้มให้ปู่ตัวเองบ้างเล้ย คิดถึงตัวเองตอนเป็นเด็กหรือเด็กไทยทั่ว ๆ ไปก็ไม่ชอบคุยกับผู้ใหญ่เหมือนกันแต่เราก็ไม่เคยทำกิริยาอย่างนี้ อย่างน้อยก็ยิ้ม ถามมาก็ตอบไปแบบสุภาพ ไม่ใช่ตอบแค่เยส กับ โน อย่างเดียว แถมหน้าก็ไม่มอง นี่ขนาดว่าปู่เค้าใจดีออกนะเนี่ย แถมไม่ใช่ตาสีตาสาด้วย เป็นถึงด็อกเตอร์ วัฒนธรรมการเลี้ยงดูเด็กช่างต่างจากบ้านเราจริง ๆ เราก็เฉย ๆ ไม่อยากเอามาเป็นประเด็นพูดกับกอดอน เพราะช่างมันไม่ใช่ลูกเรา เป็นลูกเราหน่อยไม่ได้ ทำกิริยาหยั่งงี้กับปู่ย่าตายายโดนดีแน่ ๆ วันรุ่งขึ้นปู่เค้าก็เปรย ๆ แบบตัดพ้อ กับกอดอนว่า "ชั้นคุยกับหลานแล้วมันตอบแค่เยสกับโน บทสนทนามีแค่เนี้ย" คุณกอร์ดอนจูเนียก็ได้แต่หัวเราะ ไม่ว่าอะไรลูกซักคำ เวรกรรมจริง ๆ วันสุดท้ายคุณปู่เธอก็บ่นว่าอยากกินโดนัทจังเลย เราก็บอกอ้าวยูชอบกินโดนัทเหรอชั้นไม่รู้กอดอนไม่เห็นบอกเลยชั้นจะได้เตรียมไว้ให้ แกก็บอกแบบน้อยใจว่ากอดอนเค้าไม่น่าจะรู้หรอกว่าชั้นชอบกินอะไร เวรกรรมอีกแล้ว คุณกอดอนเธอเตรียมแต่ของให้ลูกตัวเองหาซื้อแต่ของที่ลูกโปรดไว้ให้สำหรับมื้อเที่ยงวันอาทิตย์ แต่ไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อตัวเองชอบกินอะไร ขนาดเจอลูกทุกอาทิตย์นะ แต่พ่อตัวเองปีนึงเจอแค่ครั้งสองครั้ง ที่พูดมาเนี่ยไม่ได้จะนินทาว่าร้ายแฟนตัวเองหรอกนะ แต่ต้องการสื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมความแตกต่างที่ตัวเองได้พบได้เจอเท่านั้นเอง ซึ่งมันแตกต่างจากเมืองไทยเรา เราจะว่าเค้าก็ไม่ได้เพราะมันคือวัฒนธรรม แต่ละที่มันก็ไม่เหมือนกัน ต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย นั่นสิว่าทำไมลูกครึ่งไทยฝรั่งส่วนใหญ่ถึงนิสัยดีเพราะส่วนใหญ่ผู้หญิงไทยจะเอาข้อดีของแต่ละวัฒนธรรมมาผสมกันแล้วเอามาเลี้ยงลูกตัวเอง เด็กเลยค่อนข้างจะอยู่ตรงกลางไม่สุดโต่ง รับเอาแต่สิ่งดี ๆ มา รับเอาความนุ่มนวลแบบไทย และรับเอาความกล้าคิดกล้าทำกล้าแสดงออกแบบฝรั่ง
รูปนี้ถ่ายในห้องเซ็นรูป คุณปู่แกช่วยทำเฟรมติดไม้แกะสลักที่หอบหิ้วไปจากเมืองไทย แต่ถ่ายออกมามองไม่ค่อยชัดเสียดายใช้พื้นหลังเป็นผ้าไหมสีกลืนกับไม้ไปหน่อย ของจริงเป็นลายแกะสลักสวยมากเลย แต่ยังไม่เสร็จเหรือทำกรอบรอทาสีอยู่ ด้านหลังเราไปซื้อไม้แล้วก็ตัดให้ได้ขนาด แล้วก็เอาผ้าไหมลงพื้น แล้วก็ตามด้วยไม้แกะสลัก