Saturday, August 11, 2007

วันที่ 12 - 13 แวนคูเวอร์

วันที่ 12

วันนี้เราก็ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมออกเดินทางจากเคโลน่า ก่อนออกจากบ้านก็เซ็นสมุดเยี่ยม ที่บ้านพ่อกอดอนเค้าเก๋มากจะมีสมุดไดอารี่ให้แขกเซ็นเป็นที่ระลึก เพราะบ้านนี้จะมีแขกมาพักบ่อย สรุปร่ำลาอะไรเสร็จก็เริ่มออกเดินทางตอน 08.00 น. ก็ขับรถกลับไปที่แวนคูเวอร์ กว่าจะขับไปถึงก็เที่ยงพอดี อากาศผิดกันมาก จาำกร้อนแดดจ้าที่เคโรน่า กลับต้องมาเจอฝนที่แวนคูเวอร์ อุณหภูมิตกลงมาอยู่ที่ 15 องศา โอ๊ย หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่แทบไม่ทัน มาถึงโรงแรมเช็คอินอะไรเรียบร้อย ก็เดินตากฝนปรอย ๆ ไปกินอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารหรูใจกลางเมืองในโรงแรม แต่เดินค่อนข้างไกล พอไปถึงโรงแรมก็เปียกหัวเพรื่อกันไปหมด ทำเอาเคลซีหัวเสีย กระฟัดกระเฟียด บ่นว่าทำไมถึงไม่กินใกล้ ๆ โรงแรมที่พัก ส่วนกอดอนก็อยากจะให้ทุกคนได้กินอาหารในร้านอาหารอร่อย หรูหรา หลังจากเดินทางมาเหนื่อย ๆ แต่อาหารที่นี่อร่อยจริง ๆ เราสั่ง Angel hair Pasta เส้นพาสต้ามันนุ่มมากเส้นคล้าย ๆ ขนมจีนก็ไม่ใช่ ก๊วยเตี๋ยวก็ไม่ใช่ มันจะเส้นเล็กมากสีขาวแบบหิมะ แล้วก็นุ่ม ส่วนซอสที่ราดก็เป็นซอสมะเขือเทศ มะเขือเทศยังเป็นลูก ๆ อยู่เลย แต่สุกแล้ว แต่เค้าทำยังไงไม่รู้ให้มะเขือเทศไม่เละ พอกินเสร็จก็กลับโรงแรม พักผ่อน

วันที่ 13

สรุปว่าไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย เพราะว่าฝนตกตลอด แต่วันนี้เรามีนัดกินข้าวเที่ยงกับ Mr.Carl เพื่อนกอดอนที่อยู่ที่ฮิวส์ตัน คงจะจำกันได้ เค้ามาประชุมที่แวนคูเวอร์ แล้วก็ที่วิสเลอร์ด้วย


รูปนี้คือ Mr.Carl ถ่ายที่หน้าร้านอาหาร

ร้านอาหารเค้าสวยมาก เป็นร้านเก่าแก่ร้านนึงของที่นี่

พอทานอาหารเสร็จ Mr.Carl ก็ขับรถไปส่งเราที่อควอเรียม ส่วนเค้าก็ไปประชุมต่อ อควอเรียมทีี่นี่ใหญ่มากมีทั้งในร่ม แล้วก็ที่แจ้ง สัตว์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกปลาวาฬ ปลาโลมา แมวน้ำ

รูปนี้จะเป็นพืชใต้ทะเล



ปลาหมึก



นอนนิ่งเลย หน้าตาดุมาก



ปะการังใต้ทะเล สีสวยมากเลย


แมวน้ำ ดูไม่ออกเหมือนกันว่าไหนหัว ไหนหาง ไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่

ปลาวาฬ กว่าจะเก็บรูปเด็ด ๆได้ ถ่ายไม่รู้กี่รูปต่อกี่รูป

แมวน้ำน่ารักมากเลย มีหลายตัวมาก มันมีของเล่นกันทุกตัวเลย ตัวนี้กำลังเล่นกับคล้าย ๆ ลูกบอล แล้วก็มีเชือก มันก็เอาเท้าถีบลูกบอก แล้วก็ดึงเชือก ว่ายน้ำหงายหลัง น่ารัก ๆ

ปลาวาฬขาวมาก


ตกตอนเย็นเราก็ไปกินอาหารกันที่ร้าน Steam Factory Co.Ltd. ก็เป็นร้านเก่าแก่อีกร้านนึง ตึกด้านหลังที่เห็น ที่นี่เค้าผลิตรูทเบียร์เองด้วย ใครมาที่นี่ก็จะขาดไม่ได้ที่จะต้องสั่งรูทเบียร์มากิน


วันที่ 14-17 Whistler

ก็ออกเดินทางจากแวนคูเวอร์แ่ต่เช้าเหมือนเดิม มาถึงวิสเลอร์ฝนก็ตกเหมือนกัน อากาศหนาวมาก อุณหภูมิประมาณ 12-13 องศา เนื่องจากที่นี่ภูเขาเยอะ และบนภูเขาก็ยังมีหิมะ พอฝนตกหน่อย หมอกก็จะลอยเต็มไปหมด เมืองเลยปกคลุมไปด้วยหมอก แล้วอากาศก็เลยหนาว ทั้ง ๆ ที่ก่อนฝนตกอาทิตย์ที่แล้วอากาศยังร้อนอยู่เลย มาคราวนี้ก็เลยไม่สนุก เพราะไปไหนไม่ได้เลย อากาศหนาวไม่ว่า แต่ดันฝนตกเนี่ยสิ

รูปนี้เป็นจอเจียร์ เค้าแวะมาหาเราที่โรงแรม เพราะเค้าเดินทางผ่านมากำลังจะกลับไปแวนคูเวอร์ วันนี้ก็เป็นวันเกิดครบครอบ 1 ปีของจอเจียร์ พวกเราก็เลยเตรียมของขวัญไว้ให้ แกะของขวัญใหญ่เลย แกะเองด้วยนะไม่ให้ใครช่วย


รูปนี้เป็นพ่อเค้า คือ คริส หรือน้องชายกอดอน ของขวัญที่เราให้เป็นหมี ซื้อมาจากอควอเรียมที่แวนคูเวอร์


โชคดีบางช่วงฝนไม่ตกเราก็รีบออกไปตีกอล์ฟ (มินิกอล์ฟ) ที่แบล็คคอมเมาเท่น รีบเล่นก่อนที่ฝนจะตก


มื้อนี้เราไปทานอาหารซี่ปุ่นกัน ก็สนุกดีเค้าจะทำให้เราสด ๆ ตรงนั้นเลย ไฟลุกเท่วม


พอทานอาหารคาวเสร็จก็ไปต่อด้วยของหวาน เป็นร้านเครป คือขึ้นชื่อเรื่องเครป ที่เห็นในรูปเป็นเครปของขนาดใหญ่มาก กินคนเดียวไม่หมดต้องช่วยกันสองคน ก็จะมีสารพัดเครป ข้างในจะเป็นไอสครีม อร่อยดี แต่กินมาก ๆ ก็เลี่ยนเหมือนกัน




Tuesday, August 7, 2007

วันที่ 8 วันเสาร์ Kelowna

วันนี้เราก็ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองเคโลน่า Kelowna เพื่อไปเยี่ยมพ่อและแม่เลี้ยงของกอดอน คงจะจำหน้าตาแกกันได้ เพราะทุกคนก็เคยเจอในงานแต่ง เราก็ขับรถออกจากโรงแรมประมาณ 8 โมง กะว่าจะไปให้ถึงทันเที่ยง เพราะต้องใช้เวลาขับรถประมาณ 4-5 ชม. กอดอนกะไปให้ทันรับลูกเค้าด้วย เพราะลูกเค้าจะนั่งเครื่องมาลงที่เคลโลน่า แต่สรุปก็ไปรับไม่ทันเลยให้พ่อกับแม่เค้าไปรับแทน เพราะเราไปถึงเลทประมาณ บ่ายโมงกว่า ๆ
ระหว่างทางที่ขับรถจากวิสเลอร์ไปเคลโลน่า บรรยากาศจะต่างจากเวลาขับจากแวนคูเวอร์มาวิสเลอร์เล็กน้อยคือ ถ้าขับจากแวนคูเวอร์มาเนี่ย ตลอดทางจะมีมหาสมุทรกับภูเขา แต่จากวิสเลอร์ไปเคลโลน่า เราจะไม่เจอมหาสมุทรเลย จะผ่านแต่ภูเขา กับสองข้างทางจะเป็นฟาร์มกับแร้นช์ Ranch ฟาร์มกับแร้นช์ จะแตกต่างกันคือ ที่นี่ถ้าเค้าปลูกพืชอย่างเดียวเค้าจะเรียกว่าฟาร์ม แต่ถ้าเค้าเลี้ยงสัตว์ด้วยจะเรียกว่า Ranch เค้าจะไม่เรียกว่าฟาร์ม หยั่งบ้านเราเรียกฟาร์มม้า แต่ที่นี่เค้าจะใช้คำว่า horse ranch

ต้นไม้ส่วนใหญ่ตามป่าที่นี่ก็จะมีพวก Pine, Fir, Cedar ในรูปด้านบนจะเป็น Cedar หน้าตาจะคล้าย ๆ ต้นสน ที่นี่จะมีป้ายบอกตลอดว่าให้ระวังกวางข้ามถนน ขับไป ๆ ก็ไปเจอกวางตัวนึงอยู่ข้างถนน เราก็จอดรถกะถ่ายรูป แต่เสียดายถ่ายไม่ทัน มันเห็นเราปุ๊บมันก็เดินเข้าป่าไป เวลาเราขับรถไปช่วงไหนที่สามารถรับสัญญาณวิทยุได้ เค้าจะมีป้ายบอกเอาไว้ข้างทางว่า ช่วงนี้สามารถรับคลื่นวิทยุช่องไหน ๆ ได้ ดีจังเลย ขับมาเรื่อยๆ ก็ผ่านเมืองเล็ก ๆ เมืองนึงชื่อว่า Lilloaet city เป็นเมืองที่เค้าทำปูนซีเมนต์กัน เขาเค้าก็เลยโล้น ๆ เหมือนแถวสระบุรีบ้านเรา เมืองนี้ในอดีตเป็นเมืองที่เค้ามาขุดทองกัน มีทองอยู่เต็มไปหมด ช่วงจากเมืองนี้มา ภูเขาจะไม่มีหิมะบนยอดเขาแล้ว เพราะภูมิประเทศจะต่ำกว่า เท่าที่สังเกตตลอดทางที่เราขับรถจะมีรางรถไฟขนานกันมาตลอด ถ้ามาเที่ยงโดยนั่งรถไฟ บรรยากาศน่าจะดีมาก ๆ เลย เพราะรถไฟมันจะขับเลามหาสมุทร ทะเลสาป แล้วก็ภูเขา

ที่นี่เค้าจะทำทางเป็นถนนดินขึ้นภูเขาที่ชันๆ เอาไว้ให้ข้างทาง สำหรับรถที่มีปัญหาเรื่องเบรคไม่อยู่ เค้าจะเรียก Run away พอรถขับขึ้นไปมันก็จะสามารถทำให้รถที่เบรคไม่อยู่หยุดได้ ก็ดีเหมือนกันนะ

ก็มาถึงบ้าน กอดอนซีเนียร์ กับแม่เลี้ยงชื่อ จอยส์ เมืองเคลโลน่าเป็นเมืองที่อยู่ที่ราบแต่ก็มีภูเขา ทะเลสาป Lake แล้วก็ทะเล เมืองก็ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก ขนาดซักประมาณใหญ่กว่าพัทยาเล็กน้อย บ้านของเค้าจะอยู่บนเขาซึ่งมองเห็นทะเลสาป บรรยากาศดีมาก ๆ พอไปถึงก็กินอาหารเที่ยงกัน หลังจากนั้นกอดอนกับลูกสาวเค้าก็ไปดูหนัง (แฮรี่ พอทเตอร์) กัน ส่วนเราเหนื่อยมาก ขอตัวนอนพัก พอตกเย็นมาจอยส์เค้าก็จะพาหมาเค้าชื่อว่า happy พันธุ์พุดเดิ้ล ไปเดิน เค้าก็ชวนเราไปด้วย เอ้าไปก็ไป ก็เดินไกลพอสมควรประมาณ 5 กม. เค้าก็เดินทักทายเพื่อนบ้านไปเรื่อย ๆ แล้วก็แนะนำเราไปด้วย ก็ไปเจอเพื่อนบ้านคนนึงเป็นฝรั่งผู้หญิงกำลังยืนจิบไวน์อยู่หลังบ้าน พอเค้ารู้ว่าเรามาจากเมืองไทยเค้าบอก ลูกสาวเค้าก็เคยไปเมืองไทย เมืองไทยน่าอยู่มากเลย เราก็หน้าบาน พอเดินมาอีกสักพัก ก็มาเจอเพื่อนบ้านอีกคู่นึง เป็นผู้ชายกับผู้หญิงอายุเยอะแล้วหละ รุ่นจ้อยส์เนี่ยแหละ จอยส์ก็แนะนำเราอีก พอเราบอกมาจากเมืองไทย เค้าบอกเค้าเคยไปเที่ยวเมืองไทย โหดีใจจังเลยมีแต่คนเคยไปเที่ยวเมืองไทย รู้สึกภูมิใจยังไงก็ไม่รู้ เราก็เลยถามจอยส์ว่าที่คานาดาเป็นประเทศที่น่าอยู่มากมีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเล มหาสมุทร ทำไมคนที่นี่ถึงยังอยากไปเที่ยวเมืองไทย ทั้ง ๆ ที่ไกลมาก จอยส์ก็บอกมันไม่เหมือนกัน เมืองไทยแตกต่างจากที่นี่ ทุกคนก็เลยอยากไปเที่ยว และใครที่ไปก็ชอบทุกคน

วันที่ 9 วันอาทิตย์ Kelowna






วันนี้เราก็ตื่นแต่เช้าออกไปเดินสำรวจบ้านรูปด้านบนจะเป็นบ้านของเค้าจะต้องขับรถขึ้นไปชันมาก ไม่อยากคิดถึงตอนหิมะตกเลย ก็จะขับรถขึ้นไปทางขวาเวลาลงก็ลงทางซ้ายรูปนี้ถ่ายจากด้านข้างของบ้านลงไป บ้านเค้าจะอยู่บนเนินเขา จะเป็นลักษณะลาดลง ที่เห็นด้านล่างก์คือทะเลสาป




รูปนี้ถ่ายจากระเบียงหน้าบ้าน รอบบ้านเค้าจะปลูกดอกกุหลาบไว้เต็มไปหมดเลย เป็นร้อย ๆ ต้น มีทุกสีเลย แล้วมันก็ออกดอกกันแบบงามมาก




รูปนี้จะเป็นห้องดูทีวี มีซีดีหนังเป็นพันเรื่องเยอะมาก ๆ บ้านเค้าจะมีสองชั้น คือพอเดินเข้าประตูมา ซ้ายมือก็จะเป็นห้องนี้คือห้องดูหนังฟังเพลง ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องนอนแขก คือห้องนอนที่เรานอนกัน จะมีห้องใหญ่คือห้องที่เราพักหนึ่งห้อง แล้วก็ห้องเล็ก อีกห้องนึงให้เด็ก ๆ พัก แล้วก็มีห้องน้ำด้านล่าง ห้องซักผ้า แล้วก็มีห้องเก็บอาหาร มีตู้เย็นขนาดใหญ่ใส่อาหารแล้วก็เครื่องดื่ม มีห้องเก็บของ พอเดินขึ้นด้านบน เดินขึ้นบันไดวน ๆ เหมือนบ้านฝรั่งในหนังเลย ขึ้นไปด้านบน ซ้ายมือก็จะเป็นห้องรับแขก มีมุมนั่งเล่นหลายมุม แล้วก็กั้นด้วยเตาผิงขนาดใหญ่ จะเป็นครัวแล้วก็ห้องรับประทานอาหาร ห้องนี้จะกว้างเป็นพิเศษ เพราะเค้าให้ความสำคัญกับห้องครัวและห้องรับประทานอาหารเป็นหลัก ทางขวามือก็จะเป็นห้องคอมพิวเตอร์ มีคอมให้เราเข้าไปเล่นได้ตลอด มีอยู่ 2 เครื่อง แล้วก็ห้องห้องนอนอีก 2 ห้องคือห้องนอนของเจ้าของบ้าน บ้านเค้าค่อนข้างใหญ่ แล้วก็น่าอยู่มาก ๆ
รูปนี้ก็จะเป็นฟืนที่เค้าตัดเก็บเอาไว้ บ้านที่คานาดาส่วนใหญ่เค้าจะใช้ฟืนกับเตาผิง เพราะเค้ามีป่าไม้เยอะ สามารถไปตัดมาใช้ได้ หรือบางทีก็ใช้ก๊าซ แต่ที่บ้านเราที่อเมริกาใช้ก๊าซ เพราะไปหาตัดไม้ค่อนข้างยาก ที่นี่เค้าก็จะตัดฟืนตุนกันเอาไว้เลยสำหรับหน้าหนาว




รอบ ๆ บ้านเค้าก็จะปลูกต้นไม้ที่กินได้ทั้งนี้นเลย ไม่ว่าจะเป็นบลูเบอรี่ รัสเบอรี่ พีซ แอปเปิ้ล มะเขือเทศ ถั่ว green pea โอ๊ยเยอะแยะ




องุ่นขึ้นเต็มไปหมดเลย แต่ยังไม่สุก เค้าทำเป็นร้านไว้ด้านข้างบ้าน





ดอกไฮเดรนเยียหลังบ้านสวยมาก

ตกตอนสาย ๆ เราก็ออกไปเดินตลาดนัดกัน ตลกดีคล้าย ๆ บ้านเรา แต่เป็นตลาดขายของที่เค้าทำกันเองเป็นตลาดเล็ก ๆ ทำเป็นซุ้ม ๆ อยู่ริมทะเล เดินแป๊บเดียวก็ทั่วละ ก็ไม่ได้ซื้ออะไรกันมาเลย แล้วก็ไปพิพิธภัณฑ์ ชือ Peach Land Museum เป็นประวัติของเมืองนี้ หลังจากนั้นก็พา 2 สาวไปร้านหนังสือ เพราะเด็กฝรั่งจะขาดหนังสือไม่ได้เลย อ่านจบเมื่อไหร่ ต้องร้องขอไปซื้อหนังสือ ก็ได้กันมาคนละหลายเล่มอยู่

ตกตอนบ่ายก็ไปเล่นน้ำทะเลกันที่ Peach Land เค้าก็มีหอคอยเล็ก ๆ ให้กระโดด ลงทะเล ก็มีแต่เด็ก ๆ แหละเท่าที่เห็นเค้าเล่นกัน มีคนแก่อยู่คนเดียวคือกอดอน ที่ไปร่วมกระโดดกับเค้าด้วย น่าหวาดเสียวดีเหมือนกัน สองพ่อลูกกอดอนกับเลีย กระโดดกันใหญ่ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ส่วนเคลซีไม่กล้าได้แต่ว่ายน้ำอยู่ข้างล่าง

รูปนี้เป็นเลีย เธอยังไม่กล้ากระโดดแบบเอาหัวลงเหมือนกอดอน

กลับมาบ้านหลังจากกินอาหารเย็นกันเสร็จเราก็ไปเดินจ๊อกกิ้งกับจอยส์เหมือนเดิม แต่วันนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินริมทะเลสาป อากาศสดชื่นมาก ที่นี่เค้าก็จะเอาหมามาเดินเล่นกัน เต็มไปหมด แล้วเจ้าหมาเค้าก็จะทักทายกัน


วันที่ 10 วันจันทร์ Kelowna

วันนี้เราก็ขับรถไปเที่ยวทะเลสาปชือ Kalamalka Lake ขับจากบ้านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นทะเลสาปใหญ่มาก ตอนแรกนึกว่าเป็นทะเล แต่ไม่ใช่ รู้สึกว่าตัวเองสับสนแยกไม่ค่อยออกว่าอันไหนทะเล อันไหนเป็นเลค มันคล้าย ๆ กันเลย และเลคที่นี่ก็ใหญ่มาก และมีชายหาดหยั่งกะทะเลเลย พอเราขับรถไปถึงก็ต้องเสียค่าที่จอดรถแต่ที่นี่เค้าจะไม่มีคนเก็บเงินเหมือนบ้านเรา แต่จะมีตู้ให้กดจ่ายเงินแล้วก็รับบัตรจอดรถจากเครื่องมาแปะไว้ที่หน้ารถ ค่าจอดรถที่นี่ก็ 2 ดอล ต่อ 2 ชม. ก็ไม่แพงเท่าไหร่

จอดรถเสร็จก็เดินเข้าไปกว่าจะถึงเลคก็ประมาณซัก 1 กม. พอเข้าไปถึงก็จะเป็นคล้าย ๆ ชายหาดให้เล่นน้ำ แต่ กอดอนพาเลาะปีนเขาขึ้นไปด้านบน เดินไปซักประมาณ 2 กม. ก็จะเป็นคล้าย ๆ หน้าผา เป็นชะง่อนหินสูง ตามรูปด้านบน

เราก็นึกว่ามาทำไม สรุปพี่แกกะจะกระโดดหน้าผา ลงน้ำ โห สูงใช้ได้เลยนะ น่าหวาดเสียว สูงประมาณซุกตึก 3 ชั้น แล้วก็มีพวกเด็กวัยรุ่นฝรั่งมากระโดดกันหลายกลุ่ม ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ส่วนเราขอตัว แค่ว่ายน้ำธรรมดาให้รอดก็จะแย่อยู่แล้ว

รูปนี้เป็นขาของเลีย ถ่ายไม่ทัน แหะ แหะ แต่คงพอจะจำขาเธอกันได้ กว่าเธอจะทำใจกระโดดลงมาได้ พักใหญ่ ส่วนเคลซีก็ไม่กล้าโดดตามเคย ว่ายน้ำเล่นด้านล่างอย่างเดียว





วันที่ 11 อังคาร Kelowna

วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ Kelowna ตื่นเช้ามาเราก็ไปสนามกอล์ฟกับกอดอน 2 คน ไปกันแต่เช้าตรู่ สนามกอล์ฟของฝรั่งก็ดีไปอย่างเค้าจะไม่มีแคดดี้ มาคอยกวนใจ และสนามไดร์ฟกอล์ฟเค้าก็จะไม่มีร้านอาหาร จะไม่มีการมานั่งกินไป ดื่มไป ตีไป เหมือนเมืองไทย คือเค้ามาตีกอล์ฟจริง ๆ และจะไม่มีเจ้าหน้าที่เยอะแยะมากมายที่สนามไดรฟ์กอล์ฟ เพราะเราต้องบริการตัวเอง ในการกดเครื่องจำหน่ายลูกกอล์ฟ แล้วก็เอาถังไปรอง ส่วนแต่ละหลุมในสนามกอล์ฟก็จะไม่มีจุดขายน้ำขายอาหารเลย แต่จะมีรถขายน้ำมาบริการโดยสาวสวยของสนามกอล์ฟ เค้าจะขับผ่านมาเรื่อย ๆ

วันนีืิืี้้กอดอนก็จอยก๊วนกับอีก 2 คน ซึ่งเราไม่รู้จักเค้าหรอก แต่เผอิญเรามาแค่คนเดียว ส่วนเค้าแค่สองคน ก็เลยเล่นด้วยกัน เป็นผู้ชายหนึ่งคน กับผู้หญิงหนึ่งคน ผู้ชายเป็นชาวออสเตรเลีย ผู้หญิงเป็นชาวเคเนเดียน ก็แนะนำตัวกันเรียบร้อยก็ออกสนาม ส่วนเราก็ขับรถตามอย่างเดียว แล้วก็ถ่ายรูป เพราะยังเล่นไม่เป็น เล่นไปซักพัก ผู้ชายก็มาถามเราว่า Where are you come from? เราก็บอก I'm from Thailand เค้าก็พูดว่า Mai Khao Jai เราก็ตกใจเฮ้ยพูดภาษาไทยนี่หว่า เค้าพูดว่า "ไม่เข้าใจ" แล้วเค้าก็หัวเราะ เราก็เลยถามว่าทำไมพูดภาษาไทยได้ เค้าบอกเค้าไปเมืองไทยบ่อย 2 ครั้งต่อปี เค้าบอกเค้าจะไปตีกอล์ฟที่ชลบุรี แถวแหลมฉบังก็เคยไปตี เค้าบอกสนามกอล์ฟดีมาก ได้ปลื้มอีกแล้วเจอคนรู้จักเมืองไทยอีกคนแล้ว แล้วเค้าก็พูดภาษาไทยกับเราอีกหลายประโยค พวกคำทักทายง่าย ๆ

พอมาถึงหลุม 18 ก็เจอเจ้าสัตว์ตัวน้อยนอนอยู่บนหิน น่ารักมาก ที่นี่เค้าเรียกว่าตัว Marmot เปิดดิกดูมันแปลว่าตัวอ้น รู้จักกันรึเปล่า ที่เมืองไทยไม่มี



พอเราไปถ่ายใกล้ ๆ มันก็กระโดดลงไปในหลุมใต้หิน แล้วก็โผล่หัวขึ้นมา ตาแป๋วเลย เจ้าตัวนี้จะอาศัยขุดดินอยู่ใต้พื้นดิน ตอนไปที่เลคเมื่อวานก็เจอ


ตกตอนเย็นเราก็ไปดูแข่งฮอกกี้กัน ไปกันหมดเลยทั้งบ้าน จะเป็นการแข่งฮอกกี้ของเยาวชน อายุประมาณ 12 ปี หลานของจอยส์ เล่นด้วยเป็นประตู ข้างในค่อนข้างหนาว เพราะสนามมันเป็นน้ำแข็ง เค้าเลยต้องรักษาอุณหภูมิ เป็นกีฬาที่เล่นเร็วมาก เพราะมันเล่นบนเสก็ตมันเลยเคลื่อนตัวเร็ว เราเลยหันซ้าย หันขวา จนคอเคร็ดไปหมด แล้วก็รู้สึกทึ่งว่าเค้าประคองตัวเองอยู่ได้ยังไงบนเสก็ตน้ำแข้ง แล้วแถมต้องคอยเลี้ยงลูก มันจะเป็นลูกแบนๆ แล้วก็ต้องวิ่งแบบเร็วมาก ล้มกันก็บ่อย แถมบางทีก็พลาดโดนไม้ตี แต่เป็นเกมส์ที่สนุก เค้าจะแบ่งเป็น 3 ช่วง ๆ ละ 20 นาที สรุปผลทีมหลานของจอยส์ชนะ 6:3 ส่วนกอดอนนั่งบ่นไปบ่นมาว่าทำไมไม่เล่นหยั่งงั้น ทำไมไม่เล่นหยั่งงี้ เค้ารู้สึกขัดใจมาก เพราะเค้าเคยเป็นนักกีฬาฮอกกี้มหาัลัยมาก่อน เลยรู้สึกหงุดหงิดเวลาเห็นเด็ก ๆ แล้วไม่ถูกใจ เค้าบอกถ้าเธอไปดูมืออาชีพเล่นจะมันส์กว่านี้มาก ส่วนเราแค่นี้ก็มันส์จะแย่แล้ว