รูปนี้เป็นรูปเคลซี ถ่ายเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว เธอแต่งตัวไปงานวันเกิดเพื่อน คิดดูก็แล้วกัน ว่าเด็กฝรั่งเค้าแต่งตัวไปงานวันเกิดกันหรูขนาดไหน แล้วเค้าก็แต่งหน้าของเค้าเองด้วยนะ
เด็กฝรั่งที่นี่ทุกคนจะเขียนขอบตา อยู่ตลอดเวลา จะไม่ค่อยแต่งหน้าถ้าไม่ไปงาน แต่จะเขียนขอบตาดำ แล้วก็ปัดมาสคาร่าเอาไว้ก่อน ขนาดเลีย อายุแค่ 15 ปี แต่งหน้าเป็นแล้ว มีเครื่องสำอางค์สำหรับแต่งหน้าเต็มห้องน้ำไปหมด
วันพฤหัสที่ 22
ที่เล่าค้างไว้เรื่องลองขับรถไปที่ Application Support Center สรุปว่าไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งไม่หลง แต่ตื่นเต้นมาก ระหว่างที่ขับไปมือไม้เย็นแล้วก็เปียกไปหมดเลย เพราะต้องขับรถเร็วบนฟรีเวย์ แล้วก็ต้องคอยมองป้ายทางแยก ถนนสาย 610 West กับ 290 แล้วก็ต้องมองหาตึก ที่นี่เค้าจะมองเลขที่ตึกกัน จะไม่ค่อยมีชื่อตึก ชื่อตึกที่จะไปคือหมายเลข 10555 โชคดีว่าตึกที่ว่าค่อนข้างยาวทำให้ขับผ่านแล้วก็ยังไม่เลยสามารถขับเข้าทางเข้าถัดไปได้ ใช้เวลาขับจากบ้านไปประมาณ 40 นาที เพราะรถไม่ติดแล้วก็ขับค่อนข้างเร็ว ระยะทางน่าจะประมาณ จากบางปะกงเข้ากรุงเทพ ก็รู้ตึก รู้ทางเรียบร้อยแล้วก็โทรไปหากอดอนบอกว่าตอนนี้บ่าย 2 โมง 10 นาที จะขับไปรับละ เค้าก็บอกโหเธอมาถึงเร็วก่อนกำหนด ให้รอก่อนเพราะเค้าสามารถออกจากออฟฟิศได้ตอน บ่าย 3 โมงครึ่ง เธอสามารถขับรถจากที่นั่นมาที่ออฟฟิศแค่ 20 นาที เพราะฉะนั้นให้เตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นก่อน ก็ไม่รู้จะเตรํดเตร่ไปไหน เพราะไม่มีห้างเลย ก็เลยนั่งรอในรถอยู่ 1 ชม. พอได้เวลาก็ขับรถออกไป แต่พอขึ้นฟรีเวย์ กอดอนบอกให้ไปทาง 610 East แต่ขอโทษมันมีแต่ 610 Nort กับ South เอาละซิจะไปทางไหนดี และถนนก็ค่อนข้างกระชั้นชิดด้วย ตัวเองขับอยู่ในเลนส์ 610 South แต่เฉลียวใจว่าเรามาจาก North น่าจะกลับไปทาง North ก่อน โอ้ แต่เปลี่ยนเลนส์แบบกระชั้นชิดมาก โดนรถคันอื่นบีบแตรด่าลั่นไปหมด โชคดีว่าตัดสินใจถูก พอขับมาซักพัก ก็มาเจอ 59 North และ South อันนี้จำได้ เราต้องไปทาง South ขับมาซักพักกอดอนบอกเราจะผ่าน เส้น 10 ไม่ต้องลี้ยวให้ตรงมาอีกแยกแล้วขับรถแยกออก โอ๊ยแต่มองไม่ทันหาเส้น 10 ไม่เจอ เจอแต่ป้ายใหญ่ ๆ เขียนว่า San Antonio ก็เลยคิดว่าไม่ใช่ก็เลยขับเลยมาพักใหญ่ ๆ ชักเฉลียวใจว่ามันไม่น่าขับมาไกลขนาดนี้ เลยโทรหากอดอน สรุปว่าหลงค่ะ เค้าเลยบอกให้ขับรถออกจากฟรีเวย์ แล้วก็ถามเราว่าเราอยู่บนถนนอะไร เค้าบอกเค้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราอยู่ที่ไหน โอ๊ยอยากจะเป็นลมตายคารถ มือไม้เย็นไปหมดเลย ไหนจะหลงทาง ไหนจะต้องคอยระวังกับเลนส์ขวา เลี้ยวให้ถูกทาง สารพัด เครียดมาก กอดอนก็เลยเปิดดูแผนที่ในอินเตอร์เน็ต แล้วก็บอกทางเรามาเรื่อย ๆ ว่าให้เลี้ยวตรงไหนบ้าง บางทีบอกให้เี้ลี้ยว แต่เราเลี้ยวไม่ทันเพราะเข้าเลนส์ตรง ก็ต้องเริ่มต้นกันใหม่บอกชื่อถนนใหม่ ทุกลักทุเล จนขับกลับมาขึ้นฟรีเวย์ใหม่ แล้วกอดอนก็บอกทางมาเรื่อย ๆ จนมาเข้าเขตย่านทำงานที่เค้าอยู่ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย เพราะสี่แยกไฟแดงกระชั้นชิดมาก พอเค้าบอกให้เลี้ยวเราก็มักจะขับเลยไปแล้ว แล้วก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ย่านทำงานที่นี่ จะเหมือนในหนังเลย ถนนกว้าง ๆ ตึกสูง ๆ แต่จะมีำสี่แยกไฟแดงทุก ๆ 50 ม. คิดดูก็แล้วกันว่ามันกระชั้นชิดขนาดไหน คนเดินกันพลุกพล่าน รถไม่เยอะ เพราะส่วนใหญ่เค้าจะนั่งรถบัสมาทำงานกัน พอใกล้ถึงตึกเชฟร่อน เค้าก็บอกให้ขับมาอีกซักพักนึงเค้าจะวางหูละ เพราะต้องรีบลงจากตึกขึ้นลิฟท์ สรุปเราก็ขับเลยตึกอีกตามเคย เพราะมันไม่มีชื่อตึก ที่นี่น่าเบื่อมากไม่ค่อยมีชื่อตึก สรุปต้องหาถนนเพื่อเลี้ยวรถกลับมาอีก โอ๊ย เครียดเป็นบ้าเลย พอวันรุ่งขึ้นกอดอนบอกวันนี้ขับรถไปส่งเค้าที่ทำงานมั๊ย เราบอกโอ้ โน โนเว ไว้คราวหน้าเถอะ ยังเครียดไม่หายเลย ที่สำคัญยังจำทางไปที่ทำงานเค้าไม่ได้เลย ถนนเยอะมากๆ
คนที่นี่เวลาเค้าจะไปไหน เค้าจะไม่โทรถามทางคนรู้จักเหมือนบ้านเรา เค้าจะเปิดหาในอินเตอร์เน็ต แล้วก็ไปตามแผนที่ ฝรั่งเค้าเลยดูแผนที่กันค่อนข้างเก่ง
วันเสาร์ที่ 24
ตอนบ่าย 2 โมง กอดอนก็ขับรถพาเลีย ไปแข่งวงดนตรี Band Competition เราก็ไปด้วย ก็ขับรถไปนานพอสมควร ประมาณ 1 ชม. แต่เราเข้าไปดูไม่ได้ ต้องรอข้างนอก ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นจะเป็นเด็กอายุประมาณ 14-15 ปี คงเป็นรอบการแข่งขันของเด็กนักเรียนเกรด 8-9 แต่ละคนก็แต่งตัวกันมากอย่างดี เค้าจะแข่งกันเป็นวง เป็นดนตรีคลาสสิค แต่ละคนก็หิ้วเครื่องดนตรีกันมา อันเล็กบ้าง อันใหญ่บ้าง แล้วแต่ชนิดของเครื่องดนตรี แต่ละวงก็จะถูกเรียกเข้าไปในห้องเพื่อทดสอบทีละวง แล้วก็รู้ผลคะแนนในรอบแรกเลย แต่ต้องรอนานมาก รออยู่จนถึงเกือบ 6 โมงเย็น สรุปว่าของเลียได้คะแนนเป็นอันดับที่ 1 พ่อเค้าภูมิใจใหญ่ ตอนนี้่กอดอนและเลียกำลังคร่ำเคร่งกับการเลือกโรงเรียนที่จะเรียนต่อ เกรด 10-12 กำลังเลือกว่าจะเข้าเรียนโรงเรียนอะไรดี ส่วนเคลซี อาทิตย์นี้ก็จะยุ่งอยู่กับการร่างหนังสือถึงมหาลัยโคลัมเบีย ที่คานาดา เด็ก ๆ ที่นี่เวลาเข้าเรียนต่อ ไม่ว่าชั้นอะไร หรือ เข้ามหาัลัย เค้าจะไม่มีการสอบ แต่เค้าจะใช้การเขียนหนังสือส่งไปที่มหาลัย เขียนยังไงให้น่าสนใจ ให้มหาลัยอยากรับเราเข้าไปเรียน แล้วก็เรียกเราไปสัมภาษณ์ ค่อนข้างแตกต่างจากเมืองไทย เหมือนเวลาที่เราอยากมาเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอกเหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องสอบ เราแค่เขียนหนังสือให้วิลิศมาหรา แล้วก็ส่งไปที่มหาลัย ให้เค้าเกิดความรู้สึกอยากสัมภาษณ์แรา และอยากรับเราเข้าเรียนแค่นั้นแหละ.....
รักและคิดถึงเสมอ
ปู