Saturday, March 28, 2009

Chicago Trip ( St.Patrick's Day )

ตอนนี้ที่ฮิวส์ตัน (Houston) ก็เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นไม้ใบไม้ผลิดอกออกใบสวยงาม อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้น กลางวันประมาณ 15-22 องศา เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วมีฝนตกมีลูกเห็บตกเฉยเลย เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ ฝนตกแค่ประมาณ 5 นาที บีก็โทรมาบอกว่า "ลูกเห็บตกออกไปดูเร็ว" จริง ๆ ด้วยลูกขนาดน่ารักเชียว เล็กกว่าแห้วนิดนึง ทรงเหมือนทำเป็นบล็อค ๆ มาเลย เท่ากันหมด ตกใส่หลังคาแล้วก็เด้ง ดึ๋ง ๆ ลงมาบนพื้น พอหลังจากลูกเห็นตกวันต่อมาอากาศเลยเย็นลงมาอีก ตอนเช้าเหลือแค่ 5-6 องศา


** ลูกเห็บภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า hail

โอเคเข้าเรื่องดีกว่า ทริปนี้ก็เดินทางเนื่องจากเป็นช่วง Spring break หรือช่วงเปลี่ยนฤดูเข้าหน้าฤดูใบไม้ผลิ และ โรงเรียนปิด 1 สัปดาห์ เราก็เลยไป ชิคาโก (Chicago) เนื่องจากว่า Leah จะต้องไปเดินร่วมเดินพาเหรด หรือมาร์ช กับวงดุริยางค์ของโรงเรียน ที่นี่ เนื่องในวัน St.Patrick's Day เราก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวด้วยเลย


ชิคาโก (Chicago) เป็นเมืองที่อยู่ในรัฐอิลินอยส์ (Illinois State) อยู่ทางเหนือของอเมริกา เพราะฉะนั้นอากาศจะหนาวกว่าทางเท็กซัสและมีหิมะตกในหน้าหนาว ตอนที่เราไปหิมะเพิ่งหยุดตกไปได้ 2 อาทิตย์ ก็เลยไม่มีหิมะ จะมีก็หลงเหลืออยู่ตามขอบถนนบ้างเล็กน้อย ที่นี่เหมือนจะยังไม่เข้าฤดูใบไม้ผลิเหมือนบ้านเรา เพราะยังหนาวอยู่ต้นไม้เลยยังแห้งเหี่ยว นอนหลับไม่ฟื้นซักที


เราเริ่มเดินทางกันวันดีซะด้วย ศุกร์ที่ 13 มีนาคม ออกเดินทางจากฮิวส์ตันช่วงเช้าออกจากบ้าน 10.30 น. มาแวะกินอาหารกลางวันที่สนามบินเลยจะได้ไม่เสียเวลา และขึ้นเครื่องตอนเที่ยงครึ่ง ก็ใช้เวลาบนเครื่องบินแค่ 2 ชม. ไม่นานเท่าไหร่ พอมาถึงชิคาโก ก็ไปเอารถที่เช่าไว้เหมือนเดิมแต่คราวนี้เปลี่ยนบริษัทเพราะกลัวมีปัญหาเหมือนคราวที่แ้ล้วอีก เลยเปลี่ยนจากบริษัท Dollar มาเป็น Natural ก็โอเคราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร


ส่วนเลียจะไปกับโรงเรียนตั้งแต่เช้าแล้ว แต่พอเราไปถึงเราก็ขับรถไปเยี่ยมเลียที่โรงแรมที่เด็ก ๆ พักกัน เราพักอีกโรงแรมไม่อยากอยู่ที่เดียวกัน เพราะกลัวไม่สงบสุข เพราะเด็กนักเรียนทั้งวงดุริยางค์ปาเข้าไป 250 คน โรงแรมคงจะอลหม่านน่าดูเลย รูปนี้กำลังนั่งรอเลียลงมาจากห้องบนโรงแรม




พ่อลูกก็ทักทายกันเรียบร้อย








หลังจากนั้นเราก็ออกไปหาอาหารเย็นรับประทานกัน ก็ไปเจอร้านนึงน่ารักดี เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ส่วนใหญ่เราจะชอบเข้าร้านอาหารอิตาเลี่ยน เพราะอาหารจะโอเคอร่อยและ ไม่พิลึกพิลั่น ที่สำคัญอาหารอิตาเลี่ยนมักจะมีขนมปัง บิสกิต แถมมาให้เรากินก่อนอาหาร ทุกร้านเป็นสไตล์ของอาหารอิตาเลี่ยน ร้านนี้ดูข้างนอกเหมือนกับเอาบ้านมาทำเป็นร้านอาหาร ส่วนข้างในขอบอกว่าบรรยากาศโรแมนติดมาก แต่ไม่กล้าถ่ายรูปมาเพราะบรรยากาศมันสลัว ๆ ไม่กล้าเปิดแฟลชเดี๋ยวจะเป็นการเสียมารยาท เราก็สั่งสปาเก็ตตี้ ดีใจมากเจอเส้นสปาเก็ตตี้ที่ชื่อว่า Angel Hair Pasta ซึ่งหากินยากมาก เส้นมันจะเล็กมากและนุ่ม เคยกินครั้งแรกที่ Vancouver ที่ร้านอาหารในโรงแรม Fairmont หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย พอมาเจอที่ร้านนี้ โหดีใจมาก กินอย่างมีความสุข


เช้าวันเสาร์ที่ 14 เราก็ตื่นกันแต่เช้าออกจากโรงแรม 09.00 น. เพื่อขับรถเข้าดาวน์ทาวของเมืองชิคาโก เพื่อไปดูขบวนพาเหรดเนื่องในโอกาสฉลองวัน St.Patrick's Day จริง ๆ แล้ววันนี้จะตรงกับวันที่ 17 มีนาคม แต่เค้าจัดขบวนพาเหรดวันนี้เพราะคงเอาวันสะดวกเป็นวันเสาร์ เราก็ไปตระเวณหาที่จอดรถ ค่าจอดรถที่นี่แพงมาก ๆ 3 ชั่วโมง 25 เหรียญ ก็เลยขับไปเจอที่นึงถูกหน่อย จอดทั้งวันแค่ 10 เหรียญ ที่จอดก็ดีด้วยไม่ต้องไปจอดในตึก มันจะเป็นที่โล่ง ๆ ที่มากันเช้าเพราะกลัวไม่มีที่จอดรถเนี่ยแหละ ถนนหนทางยังเงียบ ๆ อยู่เพราะยังเช้า จอดรถเสร็จก็แค่ 10.00 น. แต่ขบวนพาเหรดเริ่มเดินตอน เที่ยง เลยมีเวลาตั้ง 2 ชม. ก็เลยเดินตะลุยตามตรอกซอกซอย ของดาวทาวน์ชิคาโก ชิคาโกจะเป็นเมืองเก่าสร้างมา 200 กว่าปีแล้ว ตึกจะเก่า ๆ สูง ๆ และมีรถไฟไฟฟ้าวิ่งเยอะแยะไปหมด เดินไปเดินมาจนเหนื่อย แถมอากาศก็หนาวแค่ 3-5 องศา ก็มาหาชา และ Hot chocolate ดื่มที่ Starbuck



เดินซักพักก็มาหาห้องน้ำเข้าที่ในโรงแรม เราประเภทเวลาเข้าห้องน้ำ จะชอบเข้าตามโรงแรมเพราะห้องน้ำมันจะสะอาด โรงแรมนี้สวยมาก สร้างแบบโบราณ สไตล์คล้าย ๆ โรงละคร พอกอร์ดอนออกจากห้องน้ำเลยถ่ายรูปซะหน่อย




ตึกสูง ๆ ด้านหลังจะเป็นโรงโอเปร่า ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ที่ชิคาโก จุดเด่นของที่นี่คือโรงละครโอเปร่า และ ซิมโฟนี่ออเครสตร้า ตึกจะใหญ่มาก เพราะโรงละครเค้าอลังการใหญ่โต แต่จะดูเก่าแก่เพราะสร้างมานานแล้ว ก่อนเราเกิด






อันนี้คืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แหะ แหะ แต่ด้านหลังของโดมอันนี้จะเป็นลานเสก็ตน้ำแข็งกลางแจ้ง







ตึกนี้จะเป็น ซิมโฟนี่ ออเครสตร้า ซึ่งเราจะมาดูวันพรุ่งนี จองตั๋วไว้แล้วเรียบร้อย











เดินไปเดินมาจนเมื่อยก็มาถึงจุดตั้งขบวนพาเหรดจะอยู่ใกล้ กับแม่น้ำมิชิแกน (Michigan river) เป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ชิคาโกจะเป็นเมืองที่อยู่ติดกับแม่น้ำมิชิแกน

เลียกับเพื่อน ๆ ก็กำลังซ้อม และเตรียมเดินพาเหรด



เตรียมตั้งขบวน จะมีมาร์ชจากโรงเรียนต่าง ๆ มาร่วมเดิน หลายสิบโรงเรียน ของเราน่าจะมาไกลสุดจากเท็กซัส









สงสารม้าตัวนี้จัง รอเดินขบวนเดิน ต้องยืนรอเป็นชั่วโมงเลยกว่าจะได้เดิน แถมต้องยืนนิ่ง ๆ ห้ามกระดุกกระดิก ได้แต่ส่ายหัวอย่างเดียว แถมหนาวก็หนาว





St.Patrick's day เป็นวันที่ชาวไอริช (Irish) ฉลองกัน ชาวไอริช จะมาจากยุโรปคือประเทศไอรีแลนด์ (Ireland) หยั่งที่เรารู้กันว่าดั้งเดิมคนอเมริกันก็คือคนที่อพยพมาจากทางยุโรป เพราะฉะนั้นก็จะมีหลากหลายชาติผสมผสานกันมาแต่ดั้งเดิม หลายชาติหลายภาษาจนกลายมาเป็นชาวอเมริกันในทุกวันนี้ ที่ชิคาโก คนดั้งเดิมส่วนใหญ่จะมาจากไอรีแลนด์ ชุดที่เห็นในรูปจะเป็นชุดของชาวไอริช จะคล้าย ๆ กับพวกสก็อต พาเหรดวัน St.Patrick's Day เกินขึ้นครั้งแรกในปี 1762 แต่ไม่ได้เกิดขึ้นที่ไอรีแลนด์ แต่เกิดขึ้นครั้งแรกที่อเมริกาที่นิวยอร์ค ครั้งแรกเป็นการเดินพาเหรดของทหารที่เข้าร่วมกองทัพกับอังกฤษ


เด็ก ๆ น่ารักเชียวมารอดูขบวนพาเหรด
วันนี้เค้าจะฉลองกันโดยใสุ่ชุดสีเขียว ผู้คนจะใส่ชุดสีเขียวกันทั้งเมือง ขบวนพาเหรดเค้าก็สนุกสนาน มีหลากหลาย มีทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองมาเดิน มีทั้งแต่งตัวตลก

แม้แต่หมายังสีเขียว หนูน้อยสองตัวนี้น่ารักมากเลยมาเดินพาเหรดกับเค้าด้วย อันนี้เป็นพาเหรดของเด็ก ๆ โรงเรียนสอนเต้นรำสไตล์ไอริช




และแล้วก็มาถึงพาเหรดของโรงแรมที่เลียเดิน โรงแรม Kingwood High School วงดุริยางค์ของโรงเรียนนี้จะค่อนข้างดังและเป็นวงดุริยางค์ให้กับกองทัพ ด้วย





เลียจะสูงที่สุดในกลุ่ม เธอจะเป่าโอโบ (Oboe)










ดูขบวนพาเหรดเสร็จก็เดินเที่ยวในเมืองต่อ ตอนนี้คนเยอะมาก เพราะเค้ามาฉลองกัน และมาดูขบวนพาเหรด ไม่เหมือนตอนเช้าที่ยังเงียบ ๆ อยู่








อากาศค่อนข้างปลอดโปร่ง แต่หนาวยะเยือกอยู่










ตึกในดาวน์ทาวจะสูงใหญ่เหมือนที่เคยดูในหนัง และชิคาโกเดิมจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ Gangster หรือ พวกมาเฟียนั่นเอง พวกเจ้าพ่อต่างๆ จะอยู่กันที่เมืองนี้แหละ ไม่รู้ปัจจุบันยังมีหลงเหลืออยู่รึเปล่า ที่นี่ตอนกลางคืนจะน่ากลัวเหมือนในหนังตามตรอกหรืบอับ ๆ จะมีพวกคนจรจัดอยู่ หรือที่เค้าเรียกว่า Homeless แต่กลางวันจะน่าเที่ยวมาก เพราะในดาวทาวน์เค้าจะมีที่เที่ยวเยอะ ไม่เหมือนฮิวส์ตันที่ดาวทาวน์จะมีแต่ตึกทำงาน พอเสาร์อาิทิตย์ก็เงียบ แต่ที่นี่ยิ่งเสาร์อาทิตย์ ยิ่งครึกครึ้น คนมาเที่ยวกัน


ก็เดินหาร้านอาหารกินกัน แต่ขอโทษเข้าน้านไหนก็เต็ม ร้านไหนก็แน่น เพราะคนเยอะมาก ก็มาได้ร้านนึง ชื่อ Miller's Pub คนก็เยอะเหมือนกัน แต่อาหารอร่อยมาก โดยเฉาะ Ribs คนทั้งร้านใส่ชุดเขียวกันหมด คือบางคนไม่ใส่เสื้อผ้าเขียว แต่ก็จะมีอย่างอื่นเขียว เช่น ตุ้มหู หรือ ผ้าพันคอ อะไรประมาณนั้น มีแค่เราสองคนที่ใส่ชุดสีต่างกับชาวบ้าน ก็เราไม่ใช่ไอริชนี่นา





แม้แต่้น้ำพุยังเป็นสีเขียว เสียดายลืมเดินไปที่แม่น้ำก็เป็นสีเขียวเหมือนกัน เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ขับรถผ่าน จะเห็นแม่น้ำเป็นสีเขียวไปหมดเลย







อันนี้จะเป็นด้านหน้าของโรงละครโอเปร่าที่มีชื่อเสียงของชิคาโก ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง The Untouchables นำแสดงโดย Kevin Costner , Sean Conery , Robert De Nero ฉากในโรงโอเปร่าตอนนี้ตัวเจ้าพ่อคือ Robert De Nero กำลังฟังโอเปร่าอย่างโหยหวน และขณะเดียวกันก็ส่งคนไปฆ่าตำรวจ (ไม่แน่ใจว่าคนที่ถูกฆ่าเป็นตำรวจหรือใคร) ใครจำได้บอกหน่อย เศร้ามาก




ประตูทางเข้าโรงโอเปร่า กอร์ดอนไม่ยอมดูเพราะไม่ชอบเค้าบอกมันโหยหวน และน่าเบื่อ เลยอดเลย








ก็เสร็จสิ้นภารกิจสำหรับวันนี้ก็เดินกลับไปที่จอดรถ ถ้ามาเองคงจะหาที่จอดรถไม่เจอแน่นอน เพราะเดินซะทั่วดาวทาวน์ไปหมด ทุกตรอกซอกซอย เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย แต่กอร์ดอนเค้าเก่งจำทางกลับมาได้ไงก็ไม่รู้ งงงงงงงงงงง






ถ่ายรูปกับตึก Chicago Stock exchange ซะหน่อย ที่นี่ส่วนใหญ่ชอบทำตึกคร่อมถนน ให้รถวิ่งผ่านด้านล่าง เก๋ดี












ตอนขับรถกลับติดไฟแดง ก็เห็นสาวนางนึงทำผมสีเขียว ในรูป ก็พยายามจะถ่ายรูปเธอ แต่เธอเดินเร็วมากเลย กลายเป็นเหมือนถ่ายรูปสาวน้อยที่ถือแล้วน้ำ เธอคิดว่าถ่ายรูปเธอ เธอหัสไปถามเพื่อน ๆ 3-4 คน แต่มองไม่เห็นในรูปว่า ชั้นแต่งตัวตลกมากเหรอเค้าถึงถ่ายรูปชั้น เพื่อน ๆ เค้าก็หัวเราะกันใหญ่ แต่หารู้ไม่จริง ๆ แล้วเราจะถ่ายผู้หญิงผมเขียวที่อยู่ข้างหลัง เสียดายไม่ค่อยกล้าถ่ายรูปคนกลัวเค้าว่าเอา แต่ละคนแต่งตัวได้ประหลาด ๆ มาก สารพัดจะแต่ง ก็เป็นเทศกาลที่สนุกสนานดี





ตอนเย็นก็กะจะไปทานอาหารเย็นที่ Hard Rock Cafe เพราะจะได้เจอกับ เลียด้วย เพราะโรงเรียนเค้าไปเหมาร้านตอน 5-6 โมงเย็น เราเลยกะไปตอน 6 โมงเย็น จะได้มีที่นั่งและจ๊ะเอ๋กับเลีย แต่พอไปถึง คนเต็ม เพราะคนมาฉลองเทศกาลกันด้วย ต้องรอคิวเป็นชั่วโมงก็เลยเปลี่ยนใจ พอถ่ายรูปกับเลียหน้าร้านเสร็จ ก็เลยไปเดินหาร้านอื่นกินกัน แต่กว่าจะได้ร้านก็เกือบแย่ เพราะเข้าร้านไหนก็เต็ม



เดินไปเจอร้านนี้ เฮ้ยน่าสนใจดี เหมือนสวนสัตว์ พอเข้าไปโอ้คนล้านเจ็ดเลยต้องถอยออกมา แต่หน้าร้านก่อนเข้าร้านอาหารมีขายของที่ระลึกเต็มไปหมดเลย ของที่ระลึกเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย





วันอาทิตย์ ที่ 15 วันนี้ช่วงเช้า เราก็พักผ่อนอิิริยาบถ ต่างคำต่างแยกย้ายกันทำงานกับคอมพิวเตอร์ กอร์ดอนใช้โน้ตบุคของเค้า ส่วนเราก็ลงไปใช้ คอมของโรงแรม พอตกตอนเที่ยงก็ออกไปหาร้านอาหารใกล้ ๆ กินกัน ร้านนี้มีมุมสำหรับให้ทำไอติมกินเอง ที่เห็นจะตกแต่งด้วยอ่างอาบน้ำนะนั่นหนะ

ตกตอนบ่ายโมงครึ่งเราก็ขับรถเข้าเมืองไป ดู ซิมโฟนี่ ออเคสตร้า (Chicago Symphony Orchestra) เลียกับทางโรงเรียนก็มาดูเหมือนกัน แต่เด็ก ๆ จะนั่งที่นั่งถูกสุดอยู่บนสุด ส่วนเราจองที่นั่งกลาง ๆ กำลังดี ราคาโหดปานกลางคนละ $150
เค้าจะมีรูปถ่ายและประวัติของนักดนตรีไว้ให้ดูด้านนอก เราก็เดินอ่านกัน แต่ละคนจะมีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก หยั่งคนนี้เค้าบอกว่าตอนอายุ 3 ขวบ แม่พาไปเดินชอปปิ้ง เค้าเห็นไวโอลิน อันเล็กขนาด 1 ใน 10 ของขนาดจริง เค้าอยากได้มาก แม่ก็เลยซื้อให้ เลยชอบไวโอลินมาตั้งแต่ตอนนั้น เลยหัดเล่นไวโอลิน จนเก่ง
ถ่ายมาให้ดูตัวอย่างแค่ตนเดียวพอ
รูปนี้ก็สาวสวยขาประจำ แฮ่ ๆ รูปนี้ก็หนุ่มหล่อสาวสวยถ่ายก่อนเข้าด้านใน



เข้าไปด้านในระหว่างรอไม่รู้จะทำอะไรเลยถ่ายรูปเล่นกัน แต่ออกมาก็จะประหลาดหยั่งที่เห็น







กอดอร์นบอกรูปนี้ลบทิ้งห้ามเอาไปให้ใครดูเด็ดขาด เพราะชั้นขึ้นอืดมาก ไม่หล่อเลย แฮ่ ๆ และแล้วก็โดนภรรยาหักหลังเอามาประจานทั่วเลย







มองจากที่นั่งเราลงไป ตอนนี้ระหว่างรอนักดนตรี จะมีเปียนโนอยู่ด้านล่าง จะเป็นนักดนตรีรับเชิญ เป็นผู้หญิงสาวสวย เธอจะเดินทางทั่วโลก เล่นให้กับออเคสตร้า หลายประเทศ แต่จะไม่อยู่ประจำ







รูปนี้นักดนตรีเริ่มทยอยเดินกันเข้ามา จริง ๆ เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เราก็จะถ่ายแค่ช่วยนี้แหละ ตอนเค้าเล่นก็จะไม่ถ่าย เดี๋ยวจะโดนเค้าถีบออกมา
ดนตรีที่เค้าเล่นกันจะเป็นของ บีโธเฟน (Beethoven ) No. 5 in E-flat Major
คงไม่มีใครไม่รู้จัก บีโธเฟ่น




ถ่ายรูปกับนักเปียนโนรับเชิญที่พูดถึงตอนแรก เธอชื่อ Helene Grimaud










วันจันทร์ที่ 16 มี.ค. วันนี้ตื่นแต่เช้า เพื่อขับรถไปอีกรัฐนึงซึ่งอยู่ติดกับชิคาโก คือรัฐวิสคอนซิน (Wisconsin State) เป็นรัฐที่ตระกูลแม่ของกอร์ดอนอยู่ที่นี่ เค้าเลยอยากกลับไปดูบรรยากาศเก่า ๆ สมัยที่เค้ามาตอนเด็ก ๆ ก็ขับรถจากตัวเมืองชิคาโกไปจนเข้าเขตรัฐวิสคอนซินก็ประมาณ 2 ชม.




ก็ขับมาจนถึงเมืองแมดิสัน (Madison city) เป็นเมืองหลวงของรัฐวิสคอนซิน (Capital of Wisconsin State) ก็หาที่จอดรถแล้วลงเดินตรงแหล่งชอบปิ้งหน้ามหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แล้วก็มาสะดุดตา เด็กนักศึกษากำลังโบกรถเมล์ พอรถเมล์จอดเค้าก็เอาจักรยานของเค้า ขึ้นไว้หน้ารถ เหมือนในรูป เก๋มากสามารถขึ้นรถเมลล์โดยนำรถจักรยานไปด้วยได้


เดินไปเดินมาก็ได้เวลาอาหารกลางวัน ก็วนดูอยู่หลายร้านจนมาได้ร้านอาหารอิตาเลี่ยนอีกเช่นเคย แต่ร้านนี้เวลาสั่งอาหารน่าสนุก เพราะเราสามารถเลือกได้ว่าจะใส่อะไรบ้างในใบสั่ง เราก็ติ๊ก ๆ ลงไป หยั่งเช่น สั่งสปาเก็ตตี้ก็ให้เราเลือกว่าจะเอาเส้นอะไรมี 5-6 ชนิด แล้วก็ให้เลือกว่าจะใส่ผักอะไร ใส่เนื้ออะไร จะเพิ่มอะไร คือเหมือนกับเราทำอาหารเองเลย ก็สนุกสนานดี ราคาก็ไม่แพง แถมอร่อยถูกปาก



ตึกที่เห็นเป็นอาคารที่ศึกษาประวัติศาสต์ของรัฐวิสคอนซิน (Wisconsin State historical society) จะอยู่ในมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน มหาลัยนี้เป็นมหาลัยที่ดังมากแห่งหนึ่งของอเมริกา





มหาลัยจะอยู่ติดกับทะเลสาปเมนโดตา (Mendota Lake) น้ำในทะเลสาปยังเป็นน้ำแข็งลอยละล่องอยู่เลยด้วยความเย็น









มหาลัยนี้บรรยากาศน่าเรียนมากเลยอยู่ติดทะเลสาป เด็กนักศึกษาก็มักจะมานั่งเล่น นั่งคุยกันอยู่แถว ริมทะเลสาป







ชอบตึกเรียนตึกนี้สวยดีเหมือนปราสาท แถมสูงด้วย










อันนี้จะเป็นตึก Capital Building ซึ่งเมืองหลวงทุกเมืองของแต่ละรัฐจะมีตึกแบบนี้










หลังจากเดินชอปปิ้งจนเหนื่อย ก็ขับรถไปต่อ บ้านช่องส่วนใหญ่แถวนี้จะทรงโบราณ ๆ ตัวบ้านทำด้วยหิน สวยดี












ขับมาเรื่อง ๆ ก็มาแวะที่สถานีรถไฟ ตอนนี้กำลังย้อนรอยประวัติศาสตร์ที่มาของกอร์ดอน เค้าก็ตื่นเต้นมาก เป็นสถานีรถไฟเล็ก ๆชื่อว่า Columbus เค้าบอกว่าตอนเด็ก ๆ เค้าจะเดินทางจากคานาดา มาเยี่ยมตากับยาย ที่เมืองนี้และจะมาลงที่สถานีนี้ แล้ว ตาก็จะมารอรับ สมัยก่อนที่ว่าก็ สี่สิบกว่าปีมาแล้ว สมัยเค้ายังเด็ก ๆ เลย ที่อเมริกาและคานาดา คนก็จะเดินทางกันโดยรถไฟ เพราะเครื่องบินยังไม่เป็ฯที่นิยม หรือยังไม่ค่อยมี




ระยะเวลาก็ยาวนานโขอยู่ ถึง 3 วัน ต้องต่อสถานีถึง 2 ที่ แต่กอร์ดอนบอกตอนเด็ก ๆ รู้สึกสนุกมาก แม่กับพ่อจะพามาเยี่ยมตายายตอนช่วงปิดเทอม











พิพิธภัณฑ์ เสียดายปิดวันนี้พอดีเลยเข้าไปดูไม่ได้เลย










กิจกรรมหลัก ๆ คือ ตระเวรเยี่ยมญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะไปตระเวณตาม cemetary หรือสุสาน กอร์ดอนเค้าก็จะคอยอธิบายว่าคนนี้คือใคร เกี่ยวข้องกับเค้ายังไง จะว่าไปก็สนุกดี ได้รู้จักบรรพบุรุณของเค้า ตั้งแต่รุ่น แม่ของแม่ของแม่ของแม่ ย้อนหลังไปยัน ร้อยกว่าปี หลุมฝังศพเค้าจะฝังคู่กันระหว่างสามีภรรรยา ในหลุมซ้ายมือ ถ้าสังเกตุจะมีดาวปักอยู่ แสดงว่าเป็นทหารคนนี้ร่วมรบในช่วงสงครามโลก







กอร์ดอนบอกญาติเค้าคนนี้ จะเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แต่อยู่เป็นโสดมาตลอด











BENEDITZ คือนามสกุลของทางตา สังเกตุเสียชีวิต วันที่ 9 ธันวาคม 1970 เสียชีวิตหลังเราเกิดแค่วันเดียว











NAFFIN เป็นนามสกุลของทางยาย













โบสถ์ที่เห็นจะเป็นโบสภ์ที่ตาของกอร์ดอนจะพามาบ่อย ๆ สมัยเค้ายังเป็นเด็ก











แล้วก็ขับรถมาเรื่อย ๆ
แล้วก็มาหยุดอ่านตรงป้ายนี้ลองแปลเอาเองนะ







และแล้วก็ขับรถมาจนถึงฟาร์มของตายายกอร์ดอน แต่ตอนตาเสียเมื่อ 38 ปีที่แล้ว ยายกอร์ดอนก็ขายเพราะไม่สามารถทำฟาร์มคนเดียวได้ ลูกก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมดแล้ว เลยตัดใจขาย เนื้อทั้งหมดตกประมาณ 200 กว่าไร่ ฟาร์ม เค้าจะทำเกษตร แล้วก็เลี้ยงสัตว์ ทั้งแพะ แกะ วัว หลายหย่าง ฟาร์มค่อนข้างใหญ่ และที่เห็นจะ มีบ้าน 2 หลัง สมัยก่อน หลังใหญ่ ตากับยายอยู่ ส่วนหลังเล็ก พ่อของตาของกอร์ดอนอยู่
กอร์ดอนบอกตอนเด็ก ๆ จะชอบมาฟาร์มมากเพราะ สนุก ได้วิ่งเล่น ทุ่งหญ็ากว้าง ๆ แล้วก็ ดูเค้าทำฟาร์ม เท่าที่ดูคนที่ทำฟาร์มที่อเมริกา ไม่ธรรมดา ฟาร์มแต่ละที่ กว้าง ๆ และบ้านใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่เหมือนฟาร์มบ้านเรา ชาวนาเค้าค่อนข้างรวย แตกต่างกับเราราวฟ้ากับดิน เท่าที่ขับรถผ่าน โซนนี้จะเป็นโซน ฟาร์มทั้งหมด เป็ฯหมู่บ้านเล็ก ๆ คนก็จะรู้จักกันหมด แต่ฟาร์ฒแต่ละคนจะอยู่ห่าง ๆ กัน เพราะแต่ละคนก็มีที่กันเยอะ ๆ เรามาจอดรถหน้าบ้าน แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ๆ เพราะมันเป็นของคนอื่นไปแล้ว เสียดาย
กอร์ดอนก็ค่อนข้างมีความสุขมากวันนั้น ได้มาดูบรรยากาศเก่า ๆ สมัยที่เคยมาวิ่งเล่นตอนเด็ก ๆ แค่ 7-8 ขวบเอง ตกเย็นค่อนมืดเราก็ขับรถกลับชิคาโก ก็ใช้เวลา ประมาณ 3 ชม. กอร์ดอนก็ค่อนข้างเหนื่อย เพราะขับรถทั้งวันจนดึก ถึงโรงแรมเกือบ 5 ทุ่ม แต่ดูมีความสุขมาก ได้มารื้อฟื้นความหลังเมื่อครั้งเยาว์วัย วันรุ่งขึ้นก็บินกลับฮิวสตันแต่เช้า