Friday, August 3, 2007

คานาดาทริป

โอ๊ยคิดถึงบ้านมาก ไม่เคยเดินทางไปไหนนานขนาดนี้เลย ตั้ง 3 อาทิตย์ แถมกลับมาตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย อุตส่าห์บ่มผิวมาตั้งหลายเดินกะว่ากลับไปเมืองไทยจะได้ตัวขาวขึ้นมาหน่อย แดดที่นี่แรงมาก ๆ แล้วก็แห้ง ทำให้ผิวเราแห้ง ขาแตกระแหงไปหมดเลย


วันแรก - ออกเดินทางจากบ้านตอน 16.00 น. ให้แท็กซี่มารับ และแล้วก็มีปัญหาจนได้ มีพายุเข้าฟ้ามืดมัวดินมาเลย ทำให้เครื่องออกไม่ได้ ต้องนั่งรออยู่ในเครื่องประมาณ 1 ชม.เศษ เบื่อมาก สรุปก็เลยไปถึงคานาดาช้าไป 1 ชม. ใช้เวลาเดินทางจากฮิวส์ตันไปถึงเมืองแวนคูเวอร์ ใช้เวลา 4 ชม. กับอีก 15 นาที เมืองแวนคูเวอร์เป็นเมืองชายแดนที่ติดกับทางเหนือของอเมริกา ส่วนเวลาก็ช้ากว่าที่ฮิวส์ตัน 2 ชม. ถ้าเทียบกับเมืองไทย สมมุติว่าเมืองไทย 6 โมงเย็น ที่คานาดาก็จะเป็น ตี 4

รูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายจากบนเครื่องบิน ที่เห็นเป็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมทางตอนเหนือของอเมริกา ภูเขาเยอะมากและส่วนใหญ่ก็ยังมีหิมะตามยอดเขาอยู่
(ลองคลิกรูปให้ใหญ่ขึ้นนะจะได้เห็นชัดขึ้น)
ไปถึงสนามบินที่แวนคูเวอร์ สนามบินใหญ่มาก ไปถึงตามเวลาที่นั่นก็ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง แต่แปลกมากท้องฟ้ายังสว่างไสวอยู่เลย พระอาทิตย์ที่นี่จะตกเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ค่อนข้างจะช้ากว่าที่ฮิวส์ตันมาก ที่ฮิวส์ตันพระอาทิตย์ตกตอน 2 ทุ่ม อากาศก็สบาย ๆ ประมาณซัก 25 องศาเห็นจะได้ กว่าจะหลุดจากด่าน Immigration มาได้ก็ประมาณครึ่งชั่วโมง ที่นี่เค้าไม่แยกเคาน์เตอร์นักท่องเที่ยง กับคนท้องที่ทำให้ค่อนข้างช้า พอผ่านด่านอะไรเรียบร้อยก็ตรงดิ่งไปเช่ารถในสนามบินเพื่อจะเอาไว้ขับตลอด 3 อาทิตย์ เราก็เช่ารถเก๋งแวน 7 ที่นั่ง เพราะจะได้นั่งได้สบาย ๆ โล่ง ๆ และที่สำคัญจะได้บรรจุกระเป๋าเดินทางของทุกคนได้ รวมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๆ ทั้งหมดก็ 5 ใบ แถมกล่องใส่ถึงกอล์ฟอีกหนึ่งใบ หนักมาก พอได้รถเรียบร้อยก็ขับตรงดิ่งไปโรงแรมเจ้าเก่า แมริออท อยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากขับไปแค่ 10 นาที เท่าที่สังเกตุข้างทางจะมีร้านที่เป็นของคนจีน แล้วก็ญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลย แล้วก็คนที่ทำงานที่สนามบินด้วยส่วนใหญ่ก็เป็นชาวจีน กับญี่ปุ่น ตอนขึ้นลิฟท์ไปห้องพัก มีคนเอเซียประมาณซัก 3-4 คน อายุเยอะแล้วหละ เค้าพูดภาษาไทยออกอีสาน แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นอีสาน น่าจะเป็นภาษาลาวมากกว่า แต่เราฟังเค้าพูดรู้เรื่อง



ตื่นเช้ามาเราก็มีนัดทานอาหารเช้า กับน้องชายของกอดอนชื่อว่า คริส อายุ 37 ปี เค้าอยู่ที่แวนคูเวอร์ มากับลูกสาวอายุ 1 ขวบน่ารักมากเลย ชื่อว่า จอเจียร์ แต่พ่อเค้าจะเรียกโจโจ้ ไม่งอแงเลยเค้าก็ผูกติดกับโต๊ะนั่งกินซีเรียลกับเราด้วย พอทานอาหารเช้าเสร็จประมาณ 9.00 น. เราก็ออกเดินทางต่อไปที่เมือง วิสเลอร์ Whistler
รูปนี้เป็นเมือง Vancouver เมืองค่อนข้างใหญ่ เป็นศุนย์กลางธุรกิจของคานาดา จะมีมหาสมุทรใหญ่มากคั่นกลาง แล้วก็มีภูเขาขนาดใหญ่เยอะแยะไปหมด กอดอนก็พาไปแวะดูคอนโดที่เค้าเคยอยู่สมัยเรียนมหาัลัยที่นี่ ชื่อมหาลัย British Columbia ที่คานาดาเค้าจะเหมือนบ้านเราคือแบ่งเป็นจังหวัด จะไม่เรียกว่ารัฐเหมือนอเมริกา ที่นี่จะมีประมาณ 10 จังหวัด 1 จังหวัดเค้าเท่ากับประเทศไทยทั้งประเทศ คานาดาเป็นประเทศที่ใหญ่มาก ๆ แวนคูเวอร์ก็จะเป็นเมือง ๆ นึงที่ขึ้นกับ จังหวัด British Culumbia ที่เหมือนประเทศไทยอีกอย่างนึงคือ เค้าจะใช้หน่วยความเร็วเป็นกิโลเมตร ไม่ใช้ไมล์เหมือนอเมริกา
ส่วนประชากรที่นี่เท่าที่เห็นเป็นเอเซียซะส่วนใหญ่ น่าจะเปอร์เซ็นมากกว่าฝรั่งซะอีก เดินไปไหนก็มีแต่คนจีนกับญี่ปุ่น พูดภาษาจีนกันอีโหลงโฉงเฉงไปหมด จริง ๆ แล้วที่คานาดาภาษาหลักจริง ๆ คือภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศส เพราะชาวอังกฤษกับชาวฝรั่งเศสเป็นมาค้นพบและบุกเบิกประเทศคานาดา ส่วนชาวเอเซียที่มีเยอะเพราะอบยพเข้ามาตั้งแต่สมัยสงครามโลก แต่ชาวเอเซียจะมีเยอะก็เฉพาะที่แวนคูเวอร์ ที่เมืองอื่นก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ที่นี่เค้าจะมีรถบัสที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เก๋มากๆ เสียดายถ่ายรูปมาให้ดูไม่ทัน มันจะมีสายอากาศระโยงระยางอยู่บนหลังคารถ เมืองเค้าก็จะเป็นเนินเขาขึ้น ๆ ลง เมืองส่วนใหญ่ที่คานาดาจะไม่ได้อยู่บนพื้นราบเพราะประเทศเค้ามีแต่ภูเขาบ้านเมืองส่วนใหญ่ก็เลยต้องสร้างอยู่ตามเขาเล็ก เขาน้อย เขาใหญ่
ระหว่างทางที่ขับรถจากแวนคูเวอร์ไปวิสเลอร์ ก็จะต้องขับรถข้ามเขาไม่รู้ว่ากี่ลูกต่อกี่ลูก ข้างทางก็จะเป็นมหาสมุทรตลอดเส้นทาง วิวสวยมาก ๆ แต่ไม่ได้จอดรถถ่ายรูปเลย ต้องถ่ายจากบนรถ เลยได้รูปมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
ยอดเขาแต่ละยอดจะมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอด ระยะทางจากแวนคูเวอร์ไปวิสเลอร์ 144 กม. แต่เนื่องจากต้องขับรถขึ้นเขาลงเขา โค้งซ้าย โค้งขวาอยู่ตลอด เลยใช้เวลาขับแบบไม่หยุดเลยประมาณ 2 ชม. ครึ่ง
ระหว่างทางก็จะมีน้ำตกชื่อ แชนนัลฟอล ใหญ่มาก ๆ สามารถมองเห็นน้ำตกได้จากถนนเลย เสียดายมัวแต่ตะลึงเลยลืมถ่ายรูป กอดอนไม่ได้แวะเพราะต้องรีบไปประชุมให้ทันตอนบ่าย กะว่าจะกลับมาอีกทีตอนมากับ 2 สาว ที่นี่จะอุดมไปด้วยแมกไม้ สายน้ำ ลำธารซึ่งไหลมาจากน้ำตก จะมีลำธารเยอะมากนับไม่ถ้วน น้ำตกก็เยอะ น้ำในลำธารที่นีี่เย็นมาก เพราะไหลมาจากน้ำตกบนยอดเขา ซึ่งยังมีหิมะอยู่ ลำธารภาษาอังกฤษเค้าจะเรียก Creek แต่ละลำธารก็จะมีชื่อต่าง ๆ กันไป

Whistler

พอขับรถเข้าเขตวิสเลอร์ ก็จะมีแต่เขา กับเขา เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่น่ารักมาก ๆ อยู่ในหุบเขา บ้านก็จะอยู่ในหุบเขา กับบนเขา ที่นี่เป็นเมืองพักผ่อน และเล่นสกี คนส่วนใหญ่จะมาเ่ล่นสกีกันที่นี่ ไม่ใช่เมืองธุรกิจ บ้านก็จะมีแต่สวย ๆ แทบจะนับจำนวนหลังได้ เ็ป็นเมืองเล็กจริง ๆ หน้าหนาวที่นี่ก็คงไม่ต้องพูดถึงว่าจะหนาวซักขนาดไหน เมืองก็จะปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่อากาศวันที่เราไปถึงกำลังสบาย ๆ ตอนกลางวันก็ร้อนนิดนึงประมาณ 30 องศา แต่ตกตอนเย็นจะเหลือประมาณ 20 องศา น้ำที่นี่สะอาดมาก เราสามารถดื่มน้ำจากก๊อกน้ำได้เลย


โรงแรมที่เรามาพักชื่อว่า The Fairmont Chateau Whistler เป็นโรงแรมห้าดาวของคานาดาหรูจับจิต แต่รูปที่เห็นด้านบนเป็นโรงแรม Four Season ถ่ายจากห้องที่เราพัก ส่วนโรงแรมตัวเองลืมถ่าย ถ้าใครอยากดูรูป ก็เข้าไปดูได้ที่ www.fairmont.com ห้องที่พักก็สวยมากเป็นห้องสวีท ราคาก็ไม่ต้องพูดถึง ด้านหลังโรงแรมจะเป็นภูเขาชื่อ Black Comb เป็นภูเขาที่เค้าขึ้นไปเล่นสกีกัน รูปนี้ก็จะเป็นกระเช้าที่เค้าจะนั่งขึ้นไปบนเขาเพื่อเล่นสกี
รูปนี้ก็เป็นบริเวณที่ขึ้นกระเช้า จะมีเครื่องเล่นให้เด็ก ๆ เล่นเต็มไปหมด คล้าย ๆ สวนสนุก แต่กิจกรรมที่นี่ค่อนข้างโลดโผน ออกแนวธรรมชาติแบบโลดโผน ไม่ว่าจะเป็น จักรยานภูเขา มอเตอร์ไซต์ภูเขา เดินป่า เข้าแคมป์ ปีนเขา คายัค ล่องแก่ง สเก็ต เสก็ตบอร์ด สกี


Thursday, August 2, 2007

วันที่ 3 วันจันทร์ (Whistler)

ตื่นเช้ามาก็ไปหาอาหารเช้ารับประทานในเล้าท์ ที่นี่มีเล้าท์เหมือนของมาริออทเลยแต่อาหารค่อนข้างจะเยอะกว่า ส่วนกอดอนก็ต้องไปประชุมทุกวัน วันจันทร์ถึงศุกร์ คราวนี้คนมาประชุมไม่เยอะเท่าไหร่ประมาณ 30 คน แต่จะเป็นเฉพาะระดับบริหาร ไม่เหมือนคราวที่แล้วที่จะมีระดับวิศวกรด้วย ก็เป็นการประชุมค่อนข้างเครียดมาก ๆ เชฟล่อนเค้าค่อนข้างดีคือจะมีทีมบริหารแต่ละที่เอานโยบายหรือปัญหามาเข้าที่ประชุมแล้วก็ช่วยกันระดมสมองแก้ปัญหา จะไม่มานั่งโยนความผิดหรือกัดกันเหมือนบางบริษัทที่เคยรู้จัก มีฝรั่งมาจากเชฟล่อนที่เมืองไทยด้วยหนึ่งคน ชื่อว่า ชาร์ล ส่วนเราก็ต้องเดินเที่ยวคนเดียวอีกตามเคย ก็เลยได้แผนที่จากโรงแรมมาแผ่นนึง ที่นี่ไม่ยากเพราะเป็นเมืองเล็ก ดูจากแผนที่แล้ว เดินทางโรงแรมไปแหล่งชอปปิ้งไม่ไกลเท่าไหร่ เค้าเรียกว่า Whistler Village เป็นแหล่งชอปปิ้งให้นักท่องเที่ยว เราก็เดินเลาะจากโรงแรมของเราไป ก็ต้องเดินลงเขา เพราะโรงแรมเราอยู่บนเขา


เดินผ่านลำธารที่เห็นในรูป เดินผ่านป่า แต่ไม่เปลี่ยวก็มีคนเดินสวนกันไปมาอยู่เรื่อย ๆ ก็ใช้เวลาเดินชมนำชมไม้ไปเรื่อย ๆ ก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาที

รูปนี้เป็นบริเวณ Whistler Village เค้าก็จะปิดถนน ทำเป็น Walking street หมู่บ้านค่อนข้างใหญ่ ร้านค้าเยอะแยะไปหมด ก็เดินหลงไปหลงมา เพราะมันมีถนนตัดกันไปตัดกันมาเยอะเหมือนกัน ตัวร้านเค้าก็ทำเป็นอาคารแบบสวย เก๋ ไม่ได้เป็นตึกแถวเป็นพืดเหมือนกันไปหมด ก็เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ แต่ไม่ได้ซื้ออะไรมาซักอย่าง นอกจากโปสการ์ด ร้านส่วนใหญ่ก็จะขายพวกอุปกรณ์กีฬาพวกสกี แล้วก็อุปกรณ์ปีนเขา เข้าป่า อะไรพวกนี้ แล้วก็พวกของที่ระลึก ร้านอาหารก็มีเยอะแยะไปหมด เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาว เดินไปสั่นไป ต้องใส่เสวตเตอร์ ใช้เวลาเดินจนทั่วก็ประมาณ 2 ชม. ก็เดินกลับโรงแรม ตอนสาย ๆ อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้น แดดก็เริ่มแรง นัดกับกอดอนไว้ว่าจะไปกินอาหารเที่ยงด้วยกัน ก็เลยต้องรีบเดินกลับโรงแรมให้ทันเที่ยง
เราก็ขับรถไปกินอาหารเที่ยงที่ร้าน Dusty กอดอนบอกสมัยก่อนตอนเค้าเด็ก ๆ จะมีร้านนี้ร้านเดียวที่ขายอาหาร เป็นร้านที่เก่าแก่มาก ร้านเค้าจะมีสองชั้น ทำด้วยไม้ทั้งหลัง บริเวณนี้จะเป็นอีกแหลงหนึ่งที่เค้ามาเล่นสกี ด้านหลังร้านอาหารจะเป็นภูเขาชือ Whistler moutain


รูปนี้ก็จะเป็นกระเช้าที่เค้านั่งขึ้นไปเล่นสกี ก็เหมือนกับที่เซ็นโตซ่า ที่สิงคโปร์ แต่บางกระเช้า จะเป็นที่นั่งแบบห้อยขามีสองที่นั่ง ดูจะน่าตื่นเต้นเร้าใจกว่า ดิชั้นก็แค่เก๊กท่าถ่ายรูปกับกระเช้าแต่ไม่ได้ขึ้นไปหรอก


พอกินเสร็จเราก็ไปเดินย่อยกัน ที่นี่เค้าก็มีร้านค้าให้ชอปปิ้งเหมือนกัน ร้านเค้าจะเหมือนเป็นบ้านแต่เปิดเป็นร้านค้า น่ารัก ๆ ทั้งนั้นเลย แล้วก็มาสุดตาตรงธนาคารเนี่ยแหละ ชื่อว่า Scothbank น่ารักมากเหมือนบ้านเลยก็เลยขอถ่ายรูปซะหน่อย ป้ายธนาคารเค้าจะเป็นรูป S หยั่งที่เห็นในรูป

วันที่ 4 วันอังคาร (Whistler)

วันนี้กอดอนพาขับรถไปดูบ้านสมัยที่เค้าอยู่ตอนเด็ก ๆ คือครอบครัวเค้าจะอยู่ที่แวนคูเวอร์ แต่จะมีบ้านสำหรับตากอากาศที่วิสเลอร์ เค้าก็จะขับรถมากันวันหยุดซึ่งถือว่าไม่ไกลขับมาแค่ 2 ชม.กว่า ๆ แต่กอดอนบอกว่าถ้าหน้าหนาวเวลามีหิมะ ก็ใช้เวลาขับมากกว่า หรือบางครั้งขับมาจนถึงกลางทางแล้วขับต่อไม่ได้ถนนปิดเพราะหิมะหนามาก ก็ต้องขับกลับแวนคูเวอร์กีมี




รูปนี้เป็นบ้านกอดอน ตอนนี้มีเจ้าของใหม่ไปแล้ว พ่อเค้าสร้างบ้านเองกับมือ ต้นไม้ค่อนข้างครึ้มมาก ทำให้ถ่ายรูปมองเห็นตัวบ้านไม่ค่อยถนัด บ้านเค้าจะอยู่ในหุบเขา ใกล้ทะเลสาป ชื่อว่าหมู่บ้าน Alta Vista เสร็จแล้วเราก็ตระเวณดูบ้านรอบ ๆ ว่ามีบ้านหลังไหนขายบ้าง เพราะเราแพลนกันว่าจะซื้อบ้านที่นี่อยู่ตอนเราเกษียณ แต่บ้านที่นี่ราคาค่อนข้างแพง หลังเล็ก ๆ แค่หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ราคาตก 10 ล้านบาท บ้านที่นี่แพงที่สุดในคานาดา เพราะเป็นแหล่งเล่นสกี คนส่วนใหญ่จะซื้อบ้านที่นี่เอาไว้ตากอากาศ หรืออยู่ยามเกษียนอายุ ราคาก็เลยกระฉูด บ้านส่วนใหญ่ที่นี่จะสร้างด้วยไม้ เป็นสไตล์เคบิน หรือสไตล์รีสอร์ท เราก็แพลนกันว่า อีกห้าปี เราก็จะมาซื้อบ้านที่นี่แล้วปล่อยให้เค้าเช่าไปพลาง ๆ กว่าเราจะมาอยู่


พอเสร็จจากตระเวณดูบ้านในหุบเขาแล้ว กอดอนก็พาขับขึ้นไปดูบ้านบนเขาบ้าง แต่เค้าบอกบ้านบนเขาจะมีปัญหาเวลาหิมะตก จะขับขึ้นมาลำบากเพราะถนนจะลื่นมาก ค่อนข้างอันตราย

รูปนี้เป็นบริเวณที่เค้ากำลังเตรียมเคลียพื้นที่สำหรับต้อนรับโอลิมปิกปี 2010 ที่จะจัดที่คานาดา บริเวณนี้คือจุดเส้นชัยของสกี คือเค้าจะเล่นสกีลงมาจากบนเขา แต่จริง ๆ ตรงนี้ก็เป็นยอดเขายอดนึงเหมือนกันนะไม่ได้อยู่บนที่ราบ
รูปนี้ก็เป็นด้านซ้ายมือของรูปด้านบน จะมีบ้านคนอยู่ ด้านขวามือก็จะเป็นเขาที่เค้าจะเล่นสกีลงมา เวลามองขึ้นไปบนยอดเขาแล้วก็รู้สึกงงว่าเค้าจะเล่นสกีจากยอดเขาลงมาด้านล่างยังไง เพราะมันน่าหวาดเสียวมาก มองจากในรูปอาจจะมองไม่ออก แต่ถ้าไปมองของจริงจะรู้สึกหวาดเสียวมาก เพราะเค้าจะไถสกีลงมาจากยอดเขาซึ่งสูงมาก กอดอนบอกสนุกมากตื่นเต้นดีด้วย


วันที่ 4 วันอังคาร Whistler

กิจกรรมส่วนใหญ่ของเราแต่ละวันจะเหมือน ๆ กันคือ พอกอดอนไปประชุม เราก็เดินเข้าเมือง ตอนบ่ายก็ทำสปาในห้อง เพราะเค้าจะมีอุปกรณ์สปา มีสมุนไพรขัดผิวให้เพียบในห้อง แล้วก็นอนเอกเขนกดูทีวี
ชอบอาหารเช้าที่นี่มาก จะมีปลาซัลมัลรมควันเค้าจะแร่บาง ๆ เคยกินครั้งแรกที่ โรงแรมเรเนซองค์ที่สมุย กินกับผักสลัดแล้วก็บีบมะนาว อร่อยมาก แล้วก็ไม่เคยเห็นที่โรงแรมไหนอีกเลย จนมาเจอที่นี่ แต่เค้าจะให้เรากินกับ หอมแดงหั่นฝอย แล้วก็ มีผักอะไรก็ไม่รู้คล้าย ๆ หอมหัวใหย่ หั่นเป็นแว่นบาง ๆ แต่ไม่ฉุน แล้วก็บีบมะนาว อร่อยมาก ๆ

เงินของคานาดากสวยมาก เค้าจะมีแบ็งค์ 20 เป็นสีเขียว แบ็งค์50 สีแดง แบ็งค์10 สีม่วง แบ็งค์ 5 สีฟ้า แล้วก็มีเหรียญ 1 เซ็นต์ 10 เซ็นต์ 25 เซ็นต์ 1 ดอล 2 ดอล จะไม่น่าเบื่อเหมือนอเมริกาที่แบ็งค์เค้าจะมีสีเดียวเหมือนกันหมด

เช้าวันนี้จะมีเด็กวัยรุ่นมากันเต็มไปหมดเลยเตรียมรอขึ้นกระเข้าไปเล่นเสก็ตล้าง สกีบ้าง ดูจากอุปกรณ์ที่เค้าหอบหิ้วกันมา แต่ละคนจะใส่เสื้อผ้าแบบหย่างหนา พะรุงพะรังไปหมด มากันแต่เช้าตรู่ มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็กผู้หญิงเค้าก็จะแต่งตัวกันเท่มาก ส่วนเราก็เดินสวนกับพวกเค้าเพื่อเข้าเมืองไป Whistler Village ตามเคย ก็ตั้งใจว่าจะไปไปรษณีย์ส่งโปสการ์ดซะหน่อย แล้วก็ไปเดินหาซุปเปอร์กะว่าเที่ยงนี้จะตุนอาหารไว้กินเพราะกอดอนไม่มากินด้วย ก็ไปได้ไก่ย่าง ในซุปเปอร์มา หน้าตาเหมือนไก่ย่างบ้านเราเลยดีใจมาก ก็เอามา 1 น่อง กับ 1 อก ยังร้อน ๆ อยู่เลยกลิ่นหอมมาก แล้วก็เดินเที่ยวอีกพักนึง พอใกล้เที่ยวก็เดินกลับ ก็สวนกับเด็ก ๆ ที่ไปเล่นสกีตอนเช้า เค้ากลับกันลงมาพอดี โหสภาพแบบสะบักสะบอมมาก ตัวเปียกหัวเพรื่อไปหมด บางคนก็เดินกะเผลก ๆ แบบว่าเดี้ยงไปเลย สภาพไม่เหมือนตอนก่อนขี้นไปเลย

ตอนบ่ายเราก็ระเห็จออกจากห้อง ตลอดบ่าย เพราะกอดอนจะมีประชุมย่อยที่ห้อง 5-6 คน เราก็เลยต้องออกไปเดินเที่ยวอีกรอบตอนบ่าย ส่วนกอดอนนอกจากยุ่งเรื่องประชุมแล้ว เราเห็นเค้าจะยุ่งเรื่องจัดก๊วนตีกอล์ฟด้วย โทรจัดก๊วนเป็นชั่วโมง ให้คนโน้นอยู่กับคนนี้ คนนี้อยู่กับคนนั้น วุ่นวายไปหมด สรุปประชุมไปตีกอล์ฟไปดีจริง ๆ

วันที่ 5 วันพุธ Whistler

วันนี้เล็งว่าจะไปกินอาหารไทย เพราะเล็งเอาไว้แล้วมีร้านอาหารไทยอยู่ใกล้ ๆ ร้านนึง ชื่อร้าน Thai One On ก็เข้าไปตอนเที่ยงเข้าผิดประตูไปหน่อยไปโผล่เอาในครัวเค้าเห็นมีพ่อครัวเป็นฝรั่งกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ก็เลยออกมามองหาประตูใหม่ สรุปมันอยู่คนละด้าน ก็เลยเข้าไปพนักงานต้อนรับเป็นฝรั่งผู้หญิง เสียงเธอแหบเสน่มาก ทั้งร้านมีตูอยู่คนเดียวก็เลยคิดว่า เราคิดผิดรึเปล่าเนี่ย แต่ก็เอาวะเข้ามาแล้ว ก็ลองเปิด ๆ เมนูดู ก็มีอาหารไม่ค่อยมากเท่่าไหร่ เราก็สั่งต้มยำ แล้วก็ย้ำเค้าว่าเอาแบบเผ็ด ๆ เลยนะ ชั้นคนไทยกินได้ แล้วก็ตามด้วยแกงแดงไก่ เค้าก็จะเสริฟต้นยำก่อน สไตล์ฝรั่งเค้าจะไม่สริฟพร้อมกันเค้าจะเสริฟซุปก่อน พอต้มยำมาถึงหน้าตาแปลก ๆ พอลองกิน โอ๊ยมันไม่ใช่ต้มยำนี่นามันคืออะไรก็ไม่รู้ แต่รสชาติก็อร่อยดีแปลก ๆ เผ็ดสะใจ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่น่าเพี้ยนซะขนาดนี้ ส่วนแกงแดงก็เลี่ยนมากมีความรู้สึกว่าเค้าใส่นมลงไปด้วย มันก็เลยหวาน ๆ มัน ๆ เลี่ยน ๆ ก็เลยได้แต่กระเดือกกินพยายามกินให้เกือบหมดเพราะกลัวเค้าจะเสียใจ พอเจ๊แหบเสน่ห์มาถามว่าอาหารเป็นไงบ้าง เราก็ต้องตอบแบบรักษาน้ำใจว่าโอ้อร่อยมาก ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นจะมากินอีก ตามสไตล์คนไทยชอบรักษาน้ำใจ แต่นึกในใจตูจะไม่มากินอีกเลย

ส่วนมื้อเย็นกอดอนพาไปกินอาหารที่ร้านในเมืองชื่อ Morgan's Creekside ร้านหรูแล้วก็สวยมากเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ร้านอาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะตกแต่งแบบไม้เป็นดุ้นใหญ่ ๆ ออกแนวคันทรี่ ถูกใจมาก แล้วก็พอเห็นเมนูยิ่งถูกใจเพราะมีเป็ด อาหารโปรด เราก็สั่งเลย Breast Duck หน้าตาน่ากินมาก เค้าจะม้วนเป็ดแล้วก็ยัดใส้ด้วยแอปเปิ้ล แล้วก็ตกแต่งจานแบบเก๋มาก อาหารเค้าจะเน้นดีไซด์ ถ้าอยู่อเมริกาจะหาเป็ดกินยากมากเลยไม่เหมือนที่นี่

พูดถึงเด็กวัยรุ่นที่นี่ทั้งอเมริกาและคานาดา ผู้ชายเค้าจะขอบไว้ผมบ็อบกัน คือยาวลงมาถึงหู บางคนก็ผมตรง บางคนก็ผมหยิก แล้วบางคนก็ไว้ผมม้า ตลกดี แต่พอเค้าโตขึ้นเข้าทำงานถึงจะไว้ผมรองทรง ส่วนชาวคานาดาเท่าที่สังเกตหน้าตาเค้าจะออกแนวสแกนดิเนเวีย คือผิดขาวซีด ผมทองแบบอ่อน ๆ หน้าตาจืด ๆ จะไม่ค่อยคมเข้มเท่าอเมริกา แต่หน้าตาจะออกใจดีหน่อย

วันที่ 6-7 พฤหัส-ศุกร์ Whistler

วันนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจาก นั่ง นอน แล้วก็กิน เพราะอากาศข้างนอกร้อนมาก วันนี้แดดเปรี้ยงเลย อุณหภูมิ แค่ 30 องศา แต่แดดที่นี่แรง ออกไปเดินแป๊บเดียวกลับมาแขนดำไปหมด ตอนแรกกะว่าจะเดินขึ้นเขาด้านหลังโรงแรมเพราะมันสามารถเดินขึ้นไปดูเค้าเล่นสกีบนเขาได้โดยไม่ต้องนั่งกระเช้า แต่กอดอนบอกว่าให้ดูดี ๆ ว่ามีคนเดินขึ้นรึเปล่า อย่าไปคนเดียวเพราะที่นี่หมีเยอะ เดินไปเดินมาไปเจอหมีจะซวย ที่นี่จะมีป้าย บอกไว้ตลอดว่าให้ระวังหมี Be Bear aware แล้วก็จะมีข้อปฎิบัติไว้ให้ถ้าเจอหมีว่าจะต้องทำยังไง
1. อย่าให้อาหาร 2. ยืนนิ่ง ๆ อย่างวิ่ง 3.อย่าส่งเสียงกรรโชกให้หมีตกใจ 4.ค่อย ๆ ถอยหลังห่างออกมา
อ่านแล้วก็สยองเลยไม่กล้าเดินไปที่เปลี่ยวคนเดียว สรุปเลยอยู่ในโรงแรมดีกว่า ที่เลาน์วันนี้ตอนบ่ายมีของว่างน่ากินมาก มีเค้ก คุกกี้ พิซซ่า ผลไม้สารพัด ไก่ย่าง สลัด ไวน์ขาว ไวน์แดง เบียร์ ก็เลยสิงสถิตอ่านหนังสือแล้วก็กินมันอยู่ในเลาน์เนี่ยแหละ

อีกเรื่องนึงที่น่าสนใจ ที่นี่เค้าจะทักทายเหมือนประโยคที่เราใช้อยู่คือ How are you? จะไม่เหมือนที่อเมริกาเค้าจะใช้ How are you doing? ส่วนห้องน้ำที่อเมริกาใช้ Bathroom แต่ที่นี่ใช้คำว่า Washroom กอดอนบอกเวลาเธอไปถามหาห้องน้ำ อย่าถามว่า Bathroom นะเพราะคนที่นี่ไม่รู้จัก ไม่เหมือนบ้านเรานะใช้คำว่า Toilet มาที่อเมริกาคำว่า Toilet ใช้ไม่ได้เลย